แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การจำนองทรัพย์สินหลายสิ่งเพื่อประกันหนี้รายหนึ่งรายเดียวโดยมิได้ระบุอันดับไว้ แต่ระบุจำนวนเงินจำนองไว้เฉพาะทรัพย์สินแต่ละสิ่ง หากผู้รับจำนองใช้สิทธิบังคับทรัพย์สินทั้งหมดพร้อมกันเช่นนี้ ต้องแบ่งภาระแห่งหนี้นั้นกระจายไปตามจำนวนเงินจำนองที่ระบุไว้เฉพาะทรัพย์สิ่งนั้นๆ ซึ่งผลก็คือ หากขายทอดตลาดทรัพย์สิ่งใดได้เงินเกินกว่าจำนวนที่ระบุในสัญญาจำนอง ก็ต้องคืนส่วนที่เกินให้ผู้จำนองไป และทรัพย์สิ่งใดขายได้ไม่คุ้มจำนวนที่ระบุในสัญญาจำนองส่วนที่ขาดก็เป็นอันพับไป จะเอาหนี้จำนองแต่ละรายมารวมกันตั้งเป็นเกณฑ์คำนวณมิได้
ย่อยาว
คดีมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะจำเลยที่ 4 โดยโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 4 ได้ทำสัญญาจำนองที่ดินพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างโฉนดที่ 704 อำเภอท่าเรือจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในจำนวนเงิน 310,000 บาท และที่ดินรวม 18 โฉนดอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี จำนวนเงิน 270,000 บาท เพื่อเป็นประกันหนี้ตั๋วแลกเงินที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระอยู่ 2,799,721.84 บาท ครั้นต่อมาเมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1, 2, 3 ให้ร่วมกันรับผิดใช้หนี้จำนวนดังกล่าว และหากไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ 4 ชำระแทนในจำนวนเงิน 580,000 บาท แล้วคู่ความได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาล โดยจำเลยที่ 1, 2, 3 ยินยอมใช้เงินให้โจทก์ 2,418,000 บาท กำหนดผ่อนชำระเป็นรายเดือนให้ครบภายใน 3 ปี มิฉะนั้นให้หาหลักประกันมาเพิ่มเติมจนพอแก่จำนวนหนี้ จึงจะมีสิทธิผ่อนชำระต่อไปได้อีก 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 4 นั้น ได้ตกลงกันไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 3 ว่า “จำเลยที่ 4 ยอมให้ทรัพย์สินของจำเลยที่ 4 ที่จำนองไว้กับโจทก์เป็นหลักประกันหนี้จำนวนนี้ต่อไป”
หลังจากได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลแล้ว จำเลยที่ 1, 2, 3 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงดำเนินการบังคับจำนองโดยยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 4 ออกขายทอดตลาด สำหรับที่ดิน 18 โฉนดจังหวัดสระบุรีนั้น ปรากฏว่าขายได้เงิน 382,500 บาท จำเลยที่ 4 จึงยื่นคำร้องว่าที่ดิน 18 โฉนดนี้จำนองไว้ในวงเงิน 270,000 บาท โจทก์จึงมีสิทธิรับเงินจำนวนนี้ไปเท่านั้น ส่วนที่เหลือหลังจากหักค่าธรรมเนียมขายทอดตลาดแล้ว ต้องคืนให้จำเลยที่ 4 ขอให้ศาลอายัดเงินส่วนที่เกินนี้ไว้แก่จำเลยที่ 4 ด้วย ศาลชั้นต้นนัดพร้อมโจทก์คัดค้านว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น จำเลยที่ 4ยอมผูกพันรับผิดในหนี้จำนวน 2,418,000 บาท เงินที่ขายทอดตลาดจึงยังไม่พอกับจำนวนหนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 4รับผิดตามสัญญาจำนองในวงเงิน 270,000 บาท แต่ภายหลังเมื่อตกลงประนีประนอมยอมความกัน จำเลยที่ 4 ยอมผูกพันรับผิดในหนี้จำนวน2,418,000 บาท จึงไม่มีสิทธิรับเงินที่เหลือคืน ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยที่ 4มิได้ตกลงรับผิดในหนี้จำนวน 2,418,000 บาท ซึ่งเป็นข้อตกลงของจำเลยที่ 1, 2, 3 เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 4 ส่วนข้อความในสัญญาข้อ 3 ก็เป็นเพียงให้ทรัพย์สินที่จำนองเป็นหลักประกันต่อไป ทั้งเมื่อข้อความเป็นที่สงสัยก็ชอบจะตีความเป็นคุณแก่ผู้ต้องเสียในมูลหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 11 จึงต้องถือว่าเป็นการประกันหนี้ตามสัญญาจำนองในจำนวนเงิน 270,000 บาท เมื่อหักหนี้จำนองดังกล่าวและค่าธรรมเนียมแล้ว ต้องคืนส่วนที่เหลือแก่จำเลยที่ 4 ส่วนที่โจทก์โต้แย้งว่า หากว่าจำเลยที่ 4ต้องรับผิดตามจำนวนเงินในสัญญาจำนองเท่านั้น จำเลยที่ 4 ก็หามีสิทธิรับเงินที่เหลือจากการขายทอดตลาดแปลงดังกล่าวไม่ เพราะจำเลยที่ 4 ยังได้จำนองที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยาไว้กับโจทก์อีกแปลงหนึ่งในจำนวนเงิน 310,000 บาท และปรากฏว่าที่ดินแปลงนี้ขายทอดตลาดได้เพียง121,000 บาท ซึ่งเมื่อรวมกับที่ดิน 18 โฉนดที่ขายได้ 382,500 บาท ก็ยังไม่ครบจำนวนเงิน 580,000 บาท ตามที่จำนองไว้ทั้งหมดนั้น ศาลอุทธรณ์ก็เห็นว่า แม้โจทก์เองก็ระบุจำนวนเงินที่จำนองไว้แต่ละแปลง ส่วนที่ฟ้องอ้างว่าจำเลยที่ 4 ตกลงรับผิด หากทรัพย์สินจำนองยังไม่พอชำระหนี้นั้น จำเลยก็ให้การปฏิเสธ และโจทก์ก็ยังมิได้ส่งสัญญาจำนองต่อศาล และก็ได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อกันแล้วในชั้นหลัง จึงจะแปลไปในทางที่จะต้องรับผิดตามที่อ้างในฟ้องไม่ได้ เมื่อที่ดิน 18 โฉนดขายได้เกินกว่าหนี้จำนอง จำเลยที่ 4 จึงมีสิทธิรับเงินส่วนที่เหลือพิพากษากลับ ให้จ่ายเงินส่วนที่เหลือคืนแก่จำเลยที่ 4
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งมีข้อความว่า จำเลยที่ 4 ยอมให้ทรัพย์สินที่จำนองไว้เป็นหลักประกันหนี้ต่อไป คำว่า หนี้จำนวนนี้ต้องแปลว่าจำเลยที่ 4 ยอมรับผิดในหนี้จำนองในหนี้จำนองต่อไปเท่านั้น ส่วนในปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 4 ได้จำนองที่ดินไว้ 2 ราย คือ รายจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในวงเงิน 310,000 บาท และที่ดิน 18 โฉนด จังหวัดสระบุรี ในวงเงิน 270,000 บาท เมื่อบังคับจำนองขายทอดตลาดที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้เงิน 121,000 บาท ต่ำกว่าสัญญาจำนอง และที่ดินจังหวัดสระบุรี ขายทอดตลาดได้ 382,000 บาท สูงกว่าสัญญาจำนองแต่เมื่อรวมเงินที่ขายทอดตลาดทั้งสองแห่งก็ยังไม่พอกับหนี้จำนองทั้งหมด 580,000 บาท โจทก์จึงชอบที่จะได้รับเงินที่ขายทอดตลาดจำนองทั้งหมดนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเรื่องนี้เป็นการจำนองทรัพย์หลายสิ่งเพื่อประกันหนี้รายหนึ่งรายเดียวโดยมิได้ระบุลำดับไว้ แต่ก็ได้ระบุเงินจำนองไว้เฉพาะทรัพย์สินแต่ละสิ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 734 วรรค 2เมื่อผู้รับจำนองใช้สิทธิบังคับแก่ทรัพย์สินทั้งหมดพร้อมกัน ได้กำหนดให้แบ่งกระจายภาระแห่งหนี้ไปตามจำนวนเงินจำนองที่ระบุไว้เฉพาะทรัพย์สิ่งนั้น ๆ ซึ่งหมายความว่าทรัพย์สิ่งใดขายทอดตลาดได้เงินเกินกว่าจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาจำนอง เงินส่วนเกินก็ต้องคืนให้ผู้จำนองไป และทรัพย์สิ่งใดขายทอดตลาดได้ไม่คุ้มจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาจำนอง ส่วนที่ขาดอยู่ก็เป็นอันพับไปโจทก์จะเอาหนี้จำนองทั้ง 2 รายมารวมกันตั้งเป็นเกณฑ์คำนวณหาได้ไม่ ส่วนที่ว่าจำเลยที่ 4 ตกลงรับผิดเกินกว่าทรัพย์สินที่จำนองไว้นั้น เห็นว่าข้อนี้จำเลยที่ 4 ได้ปฏิเสธต่อสู้ไว้ และในสัญญาประนีประนอมยอมความก็มิได้กล่าวถึง ทั้งสัญญาจำนองโจทก์ก็มิได้ส่งศาล จึงไม่มีหลักฐานที่โจทก์ต้องนำสืบเพื่อชี้ให้เห็นข้อตกลงดังที่อ้าง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 4 ได้รับคืนส่วนที่เกินจากการขายทอดตลาดที่ดิน 18 โฉนด จังหวัดสระบุรี ภายหลังหักหนี้จำนอง 270,000 บาท และค่าธรรมเนียมขายทอดตลาดออกแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน