คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5306/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

อาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ชนิดประกอบขึ้นเองจำเลยน่าที่จะทราบดีมาตั้งแต่ต้นว่าของกลางที่ณ.ที่มาฝากเป็นของผิดกฎหมายแต่จำเลยก็ยังคงยินดีรับฝากโดยยอมให้นำมาเก็บในกระเป๋าเสื้อผ้าของตนทั้งยังนั่งรถยนต์แท็กซี่ออกจากโรงงานไปพร้อมกันแม้กระทั่งก่อนที่จะถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมเพียงเล็กน้อยเจ้าพนักงานตำรวจก็ยังเห็นจำเลยและณ.ใช้มือจับกระเป๋าเสื้อผ้าของจำเลยคนละข้างพฤติการณ์ของจำเลยและณ.ดังที่ได้กล่าวแสดงให้เห็นว่าทั้งจำเลยและณ.ต่างมีเจตนายึดถือครอบครองกระเป๋าเสื้อผ้าของจำเลยรวมทั้งอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วยกันตั้งแต่เริ่มขึ้นรถยนต์แท็กซี่มาด้วยกันตลอดมาจนกระทั่งถูกเจ้าพนักงานตำรวจทำการจับกุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371, 91, 83, 32 ริบอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลาง
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสองลงโทษจำคุก 1 ปี ริบอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์ และ จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดในข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง อีกกระทงหนึ่ง ลงโทษจำคุก2 ปี รวมสองกระทงจำคุก 3 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจได้ตรวจค้นพบอาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของนายทะเบียนประทับพร้อมกระสุนปืน ขนาด .38 บรรจุในรังเพลิง 2 นัดอยู่ในกระเป๋าเสื้อผ้าของจำเลยในขณะที่จำเลยกับนายณัฐพล ไม้จันทร์ดี อยู่พร้อมกันในที่เกิดเหตุ ปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยมีว่า จำเลยร่วมกระทำผิดฐานมีอาวุธปืนและกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่โจทก์มีสิบตำรวจโทสมพงษ์ วิเศษเสือ และร้อยตำรวจโทเกรียงศักดิ์เพ็งหยวก ผู้ทำการจับกุมเป็นประจักษ์พยานเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ในขณะที่พยานทั้งสองกับพวกปฏิบัติหน้าที่ตั้งจุดตรวจได้มีรถยนต์แท็กซี่คันหนึ่งวิ่งผ่านมา ได้เรียกให้หยุดตรวจ ปรากฎว่าที่นั่งเบาะหลังมีผู้โดยสารนั่งมา 2 คน คือจำเลยกันนายณัฐพล โดยมีกระเป๋าเสื้อผ้าแบบสะพายของจำเลยวางคั่นกลางระหว่างบุคคลทั้งสอง โดยบุคคลทั้งสองใช้มือจับกระเป๋าใส่เสื้อผ้าดังกล่าวอยู่คนละข้างร้อยตำรวจโทเกรียงศักดิ์ ได้เรียกจำเลยกับนายณัฐพล ลงจากรถเพื่อทำการตรวจสอบ นายณัฐพลเป็นคนถือกระเป๋าเสื้อผ้าดังกล่าวลงมา ได้ทำการตรวจค้น พบอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางในกระเป๋าเสื้อผ้าซึ่งจำเลยรับว่าเป็นของจำเลย จำเลยกับนายณัฐพลบอกว่าไม่ทราบว่าอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางมาจากที่ใด แต่จำเลยกลับเบิกความตอบคำถามค้านโจทก์รับว่า อาวุธปืนของกลางดังกล่าวนายณัฐพลเป็นผู้นำมาฝากไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้าของจำเลยขณะที่ออกจากโรงงาน เมื่อพิจารณาประกอบกับสภาพของอาวุธปืนของกลางที่ปรากฎตามรายงานการตรวจพิสูจน์ เอกสารหมาย จ.2 ว่าเป็นปืนพกรีวอลเวอร์ ชนิดประกอบขึ้นเอง ขนาด .38 และไม่มีเครื่องหมายทะเบียนแล้ว เห็นว่า จำเลยน่าที่จะทราบดีมาตั้งแต่ต้นว่าของกลางที่นายณัฐพล นำมาฝากเป็นของผิดกฎหมาย แต่จำเลยก็ยังคงยินดีรับฝากให้นำมาเก็บในกระเป๋าเสื้อผ้าของตน ทั้งยังนั่งรถยนต์แท็กซี่ไปพร้อมกัน แม้กระทั่งก่อนที่จะถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมเพียงเล็กน้อย เจ้าพนักงานตำรวจก็ยังเห็นจำเลยและนายณัฐพลใช้มือจับกระเป๋าเสื้อผ้าของจำเลยคนละข้างพฤติการณ์ของจำเลยและนายณัฐพลดังที่ได้กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นมีน้ำหนักพอที่แสดงให้เห็นว่า ทั้งจำเลยและนายณัฐพลต่างมีเจตนายึดถือครอบครองกระเป๋าเสื้อผ้าของจำเลย รวมทั้งอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วยกันตั้งแต่เริ่มขึ้นรถยนต์แท็กซี่มาด้วยกันตลอดมาจนกระทั่งถูกเจ้าพนักงานตำรวจทำการจับกุมที่จำเลยนำสืบว่าอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางเป็นของพี่ชายนัฐพล โดยนายณัฐพล นำมาเสนอขายให้แก่จำเลยและขณะถูกจับกุมการครอบครองอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางยังอยู่ที่นายณัฐพล แต่เพียงผู้เดียวนั้น ย่อมเป็นการขัดกับพฤติการณ์ของจำเลยและนายณัฐพลดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้ว การนำสืบของจำเลยยังขัดกับคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.3 ที่อ้างว่าที่นายณัฐพลต้องร่วมนั่งรถยนต์แท็กซี่ไปพร้อมกับจำเลยในคืนเกิดเหตุเพราะเห็นจำเลยเมาสุรากลัวจะเกิดอันตราย แต่จำเลยกลับนำสืบในชั้นพิจารณาว่า เพราะจะกลับต่างจังหวัดด้วยกัน ส่วนอาวุธปืนของกลางนั้น ในชั้นพิจารณาจำเลยเบิกความว่า ทราบว่าเป็นของพี่ชายนายณัฐพลตั้งแต่คืนเกิดเหตุแล้ว แต่ในคำให้การของจำเลยในชั้นสองสวนกลับบอกว่าไม่ทราบว่าเป็นของผู้ใด พยานหลักฐานของจำเลยจึงไม่น่าเชื่อถือและไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยมีความผิดร่วมกับพวกฐานมีอาวุธปืนและกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามา ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยไม่ร้ายแรงนัก เมื่อไม่ปรากฎว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนกรณีมีเหตุอันควรปรานีที่จอรอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้ในความผิดทั้งสองฐานเพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีต่อไปแม้ในส่วนปัญหาการกำหนดโทษในความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง เป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งจำเลยต้องห้ามฎีกา แต่ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้เป็นผลดีแก่จำเลยได้ตามที่เห็นสมควร ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำ เห็นควรวางโทษปรับจำเลยและให้คุมความประพฤติของจำเลยไว้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยอีกสถานหนึ่ง โดยปรับกระทงละ 5,000 บาท รวม 2 กระทง ปรับ 10,000 บาทโทษจำคุกทั้งสองฐานให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 กำหนด เงื่อนไขคุมความประพฤติโดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 2 เดือน ต่อครั้งภายในเวลาที่รอการลงโทษ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299, 30 นอกจากที่แก้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share