แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การรับสภาพหนี้เป็นการที่ลูกหนี้รับสภาพต่อเจ้าหนี้ว่าจะชำระหนี้ให้ ดังนั้น การที่จำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมิได้เป็นลูกหนี้ผูกพันตนเข้าชำระหนี้ของ พ. แก่โจทก์จึงไม่เป็นการรับสภาพหนี้ ทั้งในเอกสารดังกล่าวก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ตกลงให้หนี้ของ พ. ระงับไป จึงไม่เป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ และแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าเอกสารดังกล่าวเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ ศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยว่าหนังสือสัญญานั้นเป็นสัญญาประเภทใดตามที่ถูกต้องแท้จริงได้ โดยสัญญาที่จำเลยทำให้โจทก์เป็นสัญญาประเภทหนึ่งที่คู่สัญญากระทำด้วยความสมัครใจเมื่อไม่ขัดต่อกฎหมายย่อมสมบูรณ์ใช้บังคับได้ ซึ่งหนี้ตามสัญญานี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 และเมื่อสัญญาดังกล่าวมิใช่สัญญารับสภาพหนี้และสัญญาที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายหมวด 6 แห่งประมวลรัษฎากรฯ ซึ่งเป็นตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามความมุ่งหมายแห่งประมวลรัษฎากรฯ มาตรา 103,104 และ 108 ดังนั้น แม้เอกสารดังกล่าวจะไม่ปิดอากรแสตมป์ก็ใช้เป็นพยานหลักฐานได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้แทนนางสาวพเยาว์แหลมแก้ว ซึ่งได้สั่งซื้อสินค้าน้ำมันหล่อลื่นไปจากโจทก์ แล้วจำเลยไม่ชำระโจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 342,100.35 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 กันยายน 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จโดยดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 51,315.05 บาท
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากผู้ที่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์มิใช่นายวุฒิเลิศ เจียรนิลกุลชัย การที่นายวุฒิเลิศแต่งตั้งทนายความดำเนินคดีนี้จึงไม่ชอบ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 2 ปี จำเลยไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ ไม่เคยทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ให้แก่โจทก์ โจทก์ไม่เคยทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 342,100.35 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 กันยายน 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันที่ 13 กันยายน 2539 (ที่ถูกวันที่ 23 กันยายน 2539) ซึ่งเป็นวันฟ้องให้ไม่เกิน 51,315.05 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้ฟังมาว่า เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2537 จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาตามเอกสารหมาย จ.2 ไว้ต่อโจทก์โดยมีสาระสำคัญว่าจำเลยขอรับสภาพหนี้ต่อโจทก์เนื่องจากนางสาวพเยาว์ แหลมแก้วได้รับสินค้าไปและยังค้างชำระอยู่เป็นจำนวนเงิน 342,100.35 บาท โดยจะนำหลักทรัพย์มาค้ำประกันมูลค่าหนี้ และโจทก์นำคดีมาฟ้องในวันที่ 23 กันยายน 2539 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการแรกว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วหรือไม่ เห็นว่าการรับสภาพหนี้เป็นการที่ลูกหนี้รับสภาพต่อเจ้าหนี้ว่าจะชำระหนี้ให้ ดังนั้น การที่จำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมิได้เป็นลูกหนี้ผูกพันตนเข้าชำระหนี้แก่โจทก์ จึงไม่เป็นการรับสภาพหนี้ ส่วนจะเป็นการแปลงหนี้ใหม่หรือไม่นั้นเห็นว่า แม้จำเลยทำสัญญาไว้ต่อโจทก์ว่าจะชำระหนี้ซึ่งนางสาวพเยาว์เป็นหนี้โจทก์ให้โจทก์ก็ตาม แต่ตามหนังสือสัญญาเอกสารหมาย จ.2 ไม่ปรากฏว่าโจทก์เจ้าหนี้ได้ตกลงให้หนี้ของนางสาวพเยาว์ระงับไปจึงไม่เป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้โดยอาศัยหนังสือสัญญาเอกสารหมาย จ.2 เป็นหลัก แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าเอกสารดังกล่าวเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ ศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยว่าหนังสือสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาประเภทใดตามที่ถูกต้องแท้จริงได้ ตามหนังสือสัญญาเอกสารหมายจ.2 เป็นเพียงแต่จำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผูกพันตนเข้าชำระหนี้ที่นางสาวพเยาว์ค้างชำระให้แก่โจทก์ สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นสัญญาประเภทหนึ่งซึ่งคู่สัญญากระทำด้วยความสมัครใจ เมื่อไม่ขัดต่อกฎหมายย่อมสมบูรณ์ใช้บังคับได้ และเมื่อหนี้ตามสัญญานี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 นับแต่วันที่ 21 กันยายน 2537ซึ่งเป็นวันที่หนี้ถึงกำหนดชำระ ถึงวันฟ้องวันที่ 23 กันยายน 2539 ยังไม่เกิน 10 ปี คดีจึงยังไม่ขาดอายุความ ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยอ้างมาในฎีกาของจำเลยนั้นข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการสุดท้ายว่า หนังสือสัญญาตามเอกสารหมาย จ.2 มิอาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานเพราะมิได้ปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรนั้น เห็นว่า สัญญาดังกล่าวไม่ใช่หนังสือรับสภาพหนี้ดังได้วินิจฉัยมาแล้วและไม่ใช่สัญญาที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายหมวด 6 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ตามความมุ่งหมายแห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 103, 104 และ 108 ดังนั้นแม้เอกสารดังกล่าวจะไม่ปิดอากรแสตมป์ก็ใช้เป็นพยานหลักฐานได้ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน