แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีครบกำหนดแล้วลูกหนี้ยังคงนำเงินเข้าบัญชีและเบิกเงินไปจากบัญชี ถือว่าได้มีการต่ออายุสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีออกไปโดยไม่มีกำหนด เจ้าหนี้จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจนถึงวันเลิกสัญญา เจ้าหนี้ได้ทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองภายใน 30 วัน ลูกหนี้ได้รับหนังสือบอกกล่าวในวันที่ 29 มิถุนายน 2528 จึงถือว่าสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2528 เจ้าหนี้จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจนถึงวันที่ 29 กรกฎาคม 2528 เมื่อเจ้าหนี้เป็นโจทก์ฟ้องลูกหนี้ เจ้าหนี้มีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 149 ซึ่งเป็นความรับผิดที่โจทก์ผู้ยื่นคำฟ้องจะต้องชำระต่อศาล ยังไม่เกิดมูลหนี้ระหว่างโจทก์และจำเลย เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาและให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์แล้วจำเลยจึงจะมีความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมตามมาตรา 161มูลหนี้ค่าฤชาธรรมเนียมจึงเกิดขึ้นตามคำพิพากษา หาใช่เกิดขึ้นเมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีไม่ เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าหนี้จึงไม่มีสิทธินำค่าฤชาธรรมเนียมมาขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 94.
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมากจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด เจ้าหนี้รายที่ 7 ยื่นคำขอรับชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชี รวมทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยถึงวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัยพ์เด็ดขาด และค่าฤชาธรรมเนียมตามคำพิพากษา รวมเป็นเงิน 2,800,447.18 บาทโดยขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขายทอดตลาดทรัพย์จำนองของลูกหนี้ที่ 1 ส่วนที่เหลือขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสองตามพระราชบัญญัติล้มละลาย ฑ.ศ. 2483 มาตรา 96(3)
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้ว เห็นควารให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เป็นเงิน 2,677,746.07 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสอง โดยให้ได้รับชำระหนี้จากเงินได้จากการขายทรัพย์จำนองตามมาตรา 96(3) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 หากยังขาดอีกเท่าใดจึงให้ได้รับชำระหนี้ตามมาตรา 130(8) ส่วนที่ขอเกินมาให้ยกเสีย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสองเป็นเงินจำนวน 2,374,467.10 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยทบต้นอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี ในต้นเงิน2,305,519.60 บาท นับแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2528 เป็นต้นไปถึงวันที่29 กรกฎาคม 2528 จากนั้นให้คิดดอกเบี้ยแบบธรรมดาไม่ทบต้นอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี จากต้นเงินอันเป็นยอดหนี้ในวันที่ 29 กรกฎาคม2528 นับแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2528 ถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2528ร้อยละ 17.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2528 ถึงวันที่ 4มีนาคม 2529 และร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 มีนาคม 2529 ถึงวันที่ 23 กรกฎาคม 2529 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจจฉัยว่า ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีที่ได้ต่อสัญญาออกไปมีกำหนด 12 เดือน ตามเอกสารหมาย จ.23 ได้ครบกำหนดเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2528 แต่เมื่อครบกำหนดแล้วไม่มีการเลิกสัญญาลูกหนี้ที่ 2 ยังคงนำเงินเข้าบัญชีและเบิกเงินไปจากบัญชี ถือว่าได้มีการต่ออายุสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีออกไปโดยไม่มีกำหนด เจ้าหนี้จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจนถึงวันเลิกสัญญา เมื่อวันที่ 28มิถุนายน 2528 เจ้าหนี้ได้ทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองภายใน30 วัน ลูกหนี้ทั้งสองได้รับหนังสือบอกกล่าวในวันที่ 29 มิถุนายน2528 แต่เมื่อครบ 30 วันแล้วลูกหนี้ที่ 2 ไม่ชำระหนี้ จึงถือว่าสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2528เจ้าหนี้จึงมีสิทธิคิดอกเบี้ยทบต้นจนถึงวันที่ 29 กรกฎาคม 2528ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยทบต้นอัตราร้อยละ18.5 ต่อปี ในต้นเงิน 2,305,519.60 บาท จนถึงวันที่ 29 กรกฎาคม2528 จึงต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนดอกเบี้ยถัดจากวันที่ 29 กรกฎาคม 2528 นั้นเจ้าหนี้ไม่ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศให้ธนาคารเจ้าหนี้มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากลูกค้าในอัตราเท่าใด และภายหลังจากเลิกสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีแล้วเจ้าหนี้มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยอัตราใด เจ้าหนี้จึงคงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยจากลูกหนี้ทั้งสองในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์กำหนด ฎีกาส่วนนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฟังขึ้น
สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมที่เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับตามคำพิพากษาศาลแพ่งธนบุรีคดีหมายเลขแดงที่ 3668/2529 จำนวน 69,047.50 บาทนั้น เห็นว่า ลูกหนี้ทั้งสองถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่23 กรกฎาคม 2529 ศาลแพ่งธนบุรีมีคำพิพากษาในคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2529 ภายหลังที่ลูกหนี้ทั้งสองถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว จึงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าค่าฤชาธรรมเนียมเป็นมูลหนี้ที่เกิดขึ้นเมื่อใด ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อเจ้าหนี้เป็นโจทก์ฟ้องลูกหนี้ทั้งสอง เจ้าหนี้มีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 ซึ่งเป็นความรับผิดที่โจทก์ผู้ยื่นคำฟ้องจะต้องชำระค่าธรรมเนียมต่อศาลยังไม่เกิดมูลหนี้ระหว่างโจทก์และจำเลย เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาและให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์แล้ว จำเลยจึงจะมีความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161คดีดังกล่าวศาลแพ่งธนบุรีได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2529มูลหนี้ค่าฤชาธรรมเนียมจึงเกิดขึ้นตามคำพิพากษา หาใช่เกิดขึ้นเมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีไม่ ค่าฤชาธรรมเนียมจึงเป็นมูลหนี้ที่เกิดขึ้นหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าหนี้จึงไม่มีสิทธินำมาขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 94 ฎีกาส่วนนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฟังขึ้นเช่นกัน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสองในต้นเงิน2,305,519.60 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยทบต้นอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2528 เป็นต้นไป ถึงวันที่ 29 กรกฎาคม 2528 จากนั้นให้คิดดอกเบี้ยแบบธรรมดาไม่ทบต้นอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินอันเป็นยอดหนี้ในวันที่ 29 กรกฎาคม2528 ถึงวันที่ 23 กรกฎาคม 2529 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.