แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องที่บรรยายความแต่เพียงว่า จำเลยข่มขืนใจบังคับให้โจทก์ยอมทำสัญญากู้เพื่อจำเลยจะได้รับทรัพย์สินจากการขู่เข็ญนั้นโดยไม่ได้ระบุว่าด้วยการใช้กำลังทำร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิตร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินหรือขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับซึ่งจะทำให้ผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สามเสียหายไม่เป็นฟ้องที่จะลงโทษจำเลยตามประมวลอาญา มาตรา 337,338 ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องบรรยายว่า จำเลยทั้ง 4 สมคบกันข่มขืนใจให้โจทก์ลงลายมือในสัญญากู้เงิน ว่าโจทก์เป็นหนี้เงินกู้จำเลยที่ 1 โดยความเจตนาของจำเลยข่มขืนใจโจทก์ให้จำเลยที่ 1 ได้รับประโยชน์ในลักษณะที่จำเลยบังคับให้โจทก์ทำเป็นสัญญา โดยจำเลยที่ 1 ได้รับทรัพย์สินจากจำเลยขู่เข็ญให้ยอมทำสัญญา แล้วจำเลยที่ 1 ได้เอาสัญญามาฟ้องโจทก์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา ม.337, 338
ศาลชั้นต้นเห็นว่าการกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายในฟ้องไม่เป็นผิดฐานใด พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า องค์ความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้างนั้นจะต้องประกอบด้วยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกายเสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์ หรือขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับ ซึ่งการเปิดเผยนั้นจะทำให้ผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สามเสียหาย แต่ข้อความเหล่านี้โจทก์มิได้บรรยายในฟ้องจึงพิพากษายืน