คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5276/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์ระบุว่าโจทก์ยื่นคำขอรังวัดที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์เพื่อออกโฉนดที่ดิน แต่จำเลยได้คัดค้านว่าเป็นการขอออกโฉนดที่ดินทับที่สาธารณประโยชน์ และตามคำขอท้ายฟ้องมีคำขอให้จำเลยออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ จึงเป็นการฟ้องเรียกกรรมสิทธิ์ที่ดิน เป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อที่ดินพิพาทมีราคาไม่เกินสองแสนบาทคู่ความจึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำคัดค้านของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 3ที่ให้กันส่วนที่สาธารณประโยชน์ “ที่เลี้ยงสัตว์ทุ่งเขาแดง” และเขตชานคลองสาธารณประโยชน์ “คลองห้วยทราย” ในที่ดินของโจทก์และให้จำเลยที่ 2 และหรือจำเลยที่ 4 ในฐานะเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครนายกออกโฉนดที่ดินตาม ส.ค.1 ทะเบียนเลขที่ 2 ตามการนำรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดินตามแผนที่ท้ายฟ้องแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสี่ให้การในทำนองเดียวกันว่า ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่เป็นทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายและมิได้ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 3ถอนคำคัดค้านที่ให้กันส่วนที่สาธารณประโยชน์ “ที่เลี้ยงสัตว์ทุ่งเขาแดง” และเขตชานคลองสาธารณประโยชน์ “คลองห้วยทราย”ในที่ดินของโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 3 ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 2 ที่ 4
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยผู้เช่าที่ดินพิพาทเป็นผู้ครอบครองแทนโจทก์ตลอดมา ไม่เคยมีการประกาศหวงห้ามหรือขึ้นทะเบียนที่ดินบริเวณเขาแดงเป็นที่สาธารณประโยชน์ ประชาชนมิได้ใช้ที่ดินพิพาทเป็นที่เลี้ยงสัตว์ร่วมกัน ที่ดินพิพาทจึงไม่เป็นที่ดินสาธารณประโยชน์โดยการใช้และโจทก์มิได้นำชี้ปักหลักเขตที่ดินรุกล้ำทางสาธารณประโยชน์และครอบครองห้วยทราย พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ฟ้องโจทก์ระบุว่าโจทก์ยื่นคำขอรังวัดที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์เพื่อออกโฉนดที่ดิน แต่จำเลยได้คัดค้านว่าเป็นการขอออกโฉนดที่ดินทับที่สาธารณประโยชน์ และตามคำขอท้ายฟ้อง มีคำขอให้ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ จึงเป็นการฟ้องเรียกกรรมสิทธิ์ที่ดิน เป็นคดีมีทุนทรัพย์ แต่ที่ดินที่พิพาทมีราคาไม่เกินสองแสนบาทคู่ความจึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกาว่าได้มีการประกาศให้ที่ดินบริเวณเขาแดงเป็นที่สาธารณะสำหรับราษฎรใช้เลี้ยงสัตว์ร่วมกันตั้งแต่ ปี 2496 และได้มีราษฎรร่วมกันนำสัตว์ไปเลี้ยงกินหญ้าโดยตลอดจนถึงปัจจุบันย่อมถือได้ว่า ที่สาธารณประโยชน์เขาแดงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่เป็นทรัพย์สินสำหรับประชาชนใช้ร่วมกัน โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทนั้นเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่า ไม่เคยมีการประกาศหวงห้ามหรือขึ้นทะเบียนที่ดินบริเวณเขาแดงเป็นที่สาธารณประโยชน์ และประชาชนมิได้ใช้ที่ดินพิพาทเป็นที่เลี้ยงสัตว์ร่วมกันที่ดินพิพาทไม่เป็นที่สาธารณประโยชน์โดยการใช้ เพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกาว่า โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท เพราะที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกาข้อต่อมาว่าโจทก์ไม่สามารถนำพยานมาสืบให้เห็นได้ว่า โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาอย่างต่อเนื่องนับแต่เวลาที่ได้มาซึ่งสิทธิครอบครองจนถึงเวลาที่ขอออกโฉนดนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ ที่ได้วินิจฉัยว่าพยานหลักฐาน โจทก์ฟังได้ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยผู้เช่าที่ดินพิพาทเป็นผู้ครอบครองแทนโจทก์ตลอดมา จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง เช่นกัน ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 มาเป็นการไม่ชอบ”
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้จำเลยที่ 1 และที่ 3

Share