คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5265/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การยื่นคำร้องต่อศาลตาม พ.ร.บ ล้มละลายฯ มาตรา 146 ต้องเป็นเรื่องที่ผู้ร้องยกขึ้นอ้างร้องขอต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องจะยกประเด็นเรื่องอื่นขึ้นมากล่าวอ้างในคำร้องคัดค้านไม่ได้เพราะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้วินิจฉัยและมีคำสั่งในประเด็นดังกล่าว.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ (จำเลย) เด็ดขาด ต่อมาผู้ร้องเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ขอให้ดำเนินการเพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 769 ระหว่างนางสาวมณฑาหรือสมจิตต์ผู้โอนและนายพงษ์ศักดิ์ ผู้รับโอนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 114 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นคัดค้านคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการโอนหรือมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อเพิกถอนการโอนที่ดินแปลงดังกล่าว
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีนี้เป็นคดีที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลคัดค้านคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 146 ข้อเท็จจริงได้ความว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งเนื่องมาจากผู้ร้องยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามคำร้องลงวันที่ 21 กันยายน 2531ปรากฏตามเอกสารหมาย ร.7 โดยมีข้อความในคำร้องว่า ลูกหนี้ได้จดทะเบียนขายที่ดินแปลงพิพาทให้แก่นางสาวมณฑาซึ่งเป็นสามีภรรยากันเป็นการซื้อขายโดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทน ต่อมาเมื่อวันที่ 10กรกฎาคม 2529 นางสาวมณฑาโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่นายพงษ์ศักดิ์เป็นการซื้อขายโดยไม่ชอบเพราะลูกหนี้สามีมิได้ให้ความยินยอมด้วยจึงขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนเพื่อขอเพิกถอนการโอนที่ดินดังกล่าวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 114 ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีคำสั่งตามรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ลงวันที่ 21 กันยายน 2531 ปรากฏตามเอกสารหมาย ค.2ว่า ไม่ปรากฏว่าลูกหนี้กับนางสาวมณฑาเป็นสามีภรรยากัน การโอนที่พิพาทให้แก่กันน่าเชื่อว่ามิได้เป็นสามีภรรยากันมาก่อน แม้จะปรากฏหลักฐานว่าใน พ.ศ. 2526 ลูกหนี้และนางมณฑามีบุตรด้วยกัน (ตามสูติบัตรเอกสารหมาย ร.1) ก็ไม่ใช่หลักฐานที่แสดงว่าก่อนหน้านี้ลูกหนี้และนางสาวมณฑาจะเป็นสามีภรรยากันหรือไม่ นางสาวมณฑาจึงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทแต่ผู้เดียว จึงโอนให้แก่นายพงษ์ศักดิ์ได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ ให้ยกคำร้องของผู้ร้องผู้ร้องจึงมายื่นคำร้องต่อศาลคัดค้านคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดังกล่าว เห็นว่า ตามคำร้องของผู้ร้องที่ยื่นต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นการขอให้เพิกถอนการโอนตามมาตรา 114 แห่งพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 ซึ่งจะต้องเป็นการโอนภายในระยะเวลา 3 ปี ก่อนมีการขอให้ล้มละลาย เมื่อปรากฏว่าลูกหนี้โอนที่พิพาทให้แก่นางสาวมณฑาตั้งแต่ พ.ศ. 2519 และผู้ร้องเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลายเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2531 นับแต่วันโอนจนถึงวันฟ้องเกินกว่า 3 ปีแล้ว ประกอบกับได้ความว่า ลูกหนี้และนางสาวมณฑามิได้สมรสกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย และได้ความต่อไปเพียงว่าลูกหนี้กับนางสาวมณฑามีบุตรด้วยกันใน พ.ศ. 2526 เท่านั้นก่อนหน้านั้นจะมีความสัมพันธ์กันอย่างไรหรือไม่ไม่ปรากฏ ข้อเท็จจริงคงฟังได้เพียงว่าลูกหนี้โอนที่พิพาทให้นางสาวมณฑาไป กรรมสิทธิ์จึงเป็นของนางสาวมณฑา ส่วนการโอนจะมีค่าตอบแทนและเป็นการโอนโดยสุจริตหรือไม่ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะเมื่อปรากฏว่าการโอนนั้นเกินกว่า 3 ปี ก่อนมีการฟ้องขอให้ล้มละลายแล้ว ก็ไม่อาจร้องขอให้ศาลเพิกถอนการโอนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 114 ได้อยู่แล้ว เมื่อฟังว่าที่พิพาทเป็นของนางสาวมณฑา การโอนระหว่างนางสาวมณฑาและนายพงษ์ศักดิ์ต่อมาจึงมิใช่การโอนระหว่างลูกหนี้กับนายพงษ์ศักดิ์ จะขอให้เพิกถอนการโอนตามมาตรา 114 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ก็ไม่ได้เช่นกัน คำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ส่วนที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต่อศาลว่า การที่ลูกหนี้โอนกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทให้แก่นางสาวมณฑาเป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้ร่วมคิดกัน มิได้มีเจตนาที่จะผูกพันกันตามเจตนาที่แสดงออกมา การซื้อขายที่ดินดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ กรรมสิทธิ์ในที่ดินยังคงเป็นของลูกหนี้แต่ผู้เดียวนั้น มิใช่เรื่องที่ผู้ร้องยกขึ้นอ้างร้องขอต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ซึ่งกล่าวแต่เพียงว่าการโอนระหว่างลูกหนี้และนางสาวมณฑาเป็นการโอนโดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทนเท่านั้น จึงเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกัน ผู้ร้องจะกลับยกประเด็นอื่นขึ้นมากล่าวอ้างในคำร้องคัดค้านคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ได้ เพราะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้วินิจฉัยและมีคำสั่งในประเด็นดังกล่าว คำร้องของผู้ร้องในประเด็นนี้จึงขัดต่อมาตรา 146 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาในประเด็นดังกล่าวจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาคงเห็นพ้องด้วยในผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เท่านั้น…”
พิพากษายืน.

Share