แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องมิได้อุทธรณ์ว่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นคนละแปลงกับที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 408 ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังเป็นยุติตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 408 ที่โจทก์เป็นผู้รับจำนองและนำยึดไว้การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลงของผู้ร้องเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตาม น.ส.3เลขที่ 408 จึงเป็นการมิชอบ ที่ดินพิพาทมีโฉนดของผู้ร้องเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน น.ส.3เลขที่ 408 ซึ่งโจทก์เป็นผู้รับจำนองไว้โดยชอบในขณะที่มี น.ส.3เป็นหลักฐานโดยมีชื่อผู้จำนองเป็นเจ้าของ การจำนองยังไม่ระงับสิ้นไปโจทก์ยังคงมีสิทธิบังคับจำนองเอากับที่ดินทั้งสองแปลงได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 744 และ 702 วรรคสอง การที่ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในภายหลังแม้จะได้มาโดยสุจริตก็ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่มีอยู่เดิมเสียไป.
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองในฐานะทายาทผู้รับมรดกของนายสิง สินทิพลา ผู้วายชนม์ ร่วมกันชำระหนี้จากกองมรดกให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระก็ให้ยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 408 พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่นายสิง สินทิพลา ผู้วายชนม์ จำนองค้ำประกันลูกหนี้ของโจทก์ไว้ออกขายทอดตลาด นำเงินชำระหนี้ให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 408 พร้อมบ้านเลขที่ 341/5 ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าว
ผู้ร้องขัดทรัพย์ยื่นคำร้องว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นที่ดินตามโฉนดที่ 20688 และโฉนดที่ 24987 มิใช่ทรัพย์ของจำเลย ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์โดยการซื้อมาจากผู้จัดการมรดกและเข้าครอบครองทำประโยชน์ด้วยความสงบ โดยเปิดเผยตลอดมา ขอศาลปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า โจทก์นำยึดที่ดินพิพาทโดยสุจริตไม่ทราบว่าที่ดินพิพาทที่โจทก์นำยึดนี้เป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินของผู้ร้องตามโฉนดที่ดินทั้งสองฉบับที่ผู้ร้องกล่าวอ้างหรือไม่ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกคำร้องขัดทรัพย์
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ปล่อยที่ดินโฉนดเลขที่ 24987 และ20688 ของผู้ร้องที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าที่ดินของผู้ร้องทั้งสองแปลงเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน น.ส.3 เลขที่408 หมู่ที่ 1 เล่ม 3 หน้า 74 ตำบลหนองบัว อำเภอเมืองอุดรธานีจังหวัดอุดรธานี ซึ่งโจทก์เป็นผู้รับจำนองไว้ ผู้ร้องซื้อมาโดยสุจริต ไม่ทราบถึงการจำนองดังกล่าว ผู้ร้องย่อมได้กรรมสิทธิ์แต่โจทก์ผู้รับจำนองก็ไม่เสียสิทธิที่จะบังคับจำนอง ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดได้ ผู้ร้องอุทธรณ์ว่าโจทก์กับเจ้าพนักงานที่ดินต่างประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงกระทำต่อผู้ร้องโดยผิดกฎหมาย เพื่อให้ภาระจำนองตกอยู่กับผู้ร้องซึ่งต้องร่วมกันรับผิดชอบผู้ร้องย่อมไม่ต้องรับผิดชอบในภาระจำนองกับโจทก์ ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาปล่อยทรัพย์ที่โจทก์นำยึด ผู้ร้องมิได้อุทธรณ์ว่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 408 ดังนั้นข้อเท็จจริงจึงต้องฟังเป็นยุติตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 408 ที่โจทก์เป็นผู้รับจำนองและนำยึดไว้ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าที่ดินทั้งสองแปลงของผู้ร้องเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 408แล้วพิพากษาให้ปล่อยที่ดินทั้งสองแปลงที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้จึงเป็นการมิชอบ
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ยังคงมีสิทธิตามกฎหมายในฐานะเจ้าหนี้ผู้รับจำนองในอันที่จะบังคับจำนองเอาจากที่ดินพิพาททั้งสองแปลงซึ่งเป็นที่ดินมีโฉนดที่ดินของผู้ร้องเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 408 ซึ่งโจทก์เป็นผู้รับจำนองไว้โดยชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2512 ในขณะที่ที่ดินยังมี น.ส.3 เป็นหลักฐาน มีชื่อนายสิงหรือสิงห์เป็นเจ้าของ การจำนองจึงยังคงมีอยู่ยังไม่ระงับสิ้นไป โจทก์ยังคงมีสิทธิที่จะบังคับจำนองเอากับที่ดินทั้งสองแปลงของผู้ร้องได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 744 และมาตรา 702 วรรคสองการที่ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสองแปลงมาภายหลังจากที่โจทก์ได้รับจำนองไว้แล้ว แม้จะได้มาโดยสุจริตก็หาทำให้สิทธิของโจทก์ที่มีอยู่เดิมเสียไปไม่
พิพากษากลับให้ยกคำร้อง.