คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5236/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ จำเลยให้การว่าไม่เคยแบ่งขายที่ดินและรับเงินค่าที่ดินจากโจทก์ ทั้งไม่เคยมอบการครอบครองที่ดินให้แก่โจทก์ โจทก์กล่าวอ้างข้อเท็จจริง จำเลยให้การปฏิเสธ ภาระการพิสูจน์ตกโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84
ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบอ้างว่าจำเลยขายที่ดินให้โจทก์ แต่การซื้อขายที่ดินไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ไม่มีหลักฐานการรับเงิน จำวันที่ที่ตกลงซื้อขายไม่ได้ จำนวนเงินที่ตกลงซื้อขาย 50,000 บาท เป็นเงินจำนวนมากพอสมควร เมื่อพิจารณาถึงฐานะความเป็นอยู่ของโจทก์และจำเลยตามพฤติการณ์แห่งคดีแล้วข้ออ้างของโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยขายที่ดินพิพาทและมอบการครอบครองตามฟ้องให้โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแบ่งขายที่ดินบางส่วนตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่โจทก์ โจทก์ชำระราคาที่ดินให้จำเลยแล้วบางส่วน ส่วนที่เหลือจะชำระในวันจดทะเบียนโอน จำเลยส่งมอบการครอบครองที่ดินส่วนดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้ว และโจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ด้วยความสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของกว่า 10 ปี ต่อมาจำเลยทำการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินเสร็จ แต่ไม่จดทะเบียนโอนที่ดินส่วนที่แบ่งขายให้แก่โจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่โจทก์ และรับเงินส่วนที่เหลือ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยแบ่งขายที่ดินและรับเงินค่าที่ดินจากโจทก์ ทั้งไม่เคยส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินเพื่อจะโอนให้แก่บุตร มิได้มีเจตนาแบ่งแยกที่ดินเพื่อโอนให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ จำเลยฎีกาโต้แย้งว่า แม้ในขณะตกลงซื้อขายที่ดินจะไม่ได้มีการรังวัดจำนวนเนื้อที่ที่แน่นอนก็ตาม แต่ที่ดินส่วนที่โจทก์ซื้อมาจากจำเลยอาศัยแนวคันนาเป็นจุดแบ่งเขตที่ดิน ที่ดินส่วนที่เหลือนายถ่าย เงินสลุง อาของโจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ อยู่ นายถ่ายซื้อที่ดินส่วนที่เหลือจากจำเลยเช่นกัน คำเบิกความของโจทก์สามารถรับฟังได้ว่าที่ดินที่โจทก์ได้ซื้อมาจากจำเลยกำหนดแนวเขตที่เป็นส่วนสัดไว้อย่างชัดแจ้งแน่นอนแล้วนั้น สำหรับปัญหาดังกล่าวโจทก์มีตัวโจทก์นายถ่าย เงินสลุง นายโดด หนูสลุง และนายสมบูรณ์ สวัสสลุง มาเบิกความยืนยันว่าที่ดินพิพาทเดิมเป็นของจำเลยเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ประเภท น.ส.3 (ที่ถูกต้องคือ น.ส.3 ก.) ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ตำบลโคกสลุง อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี มีเนื้อที่ประมาณ 19 ไร่ ต่อมาในปี 2527 โจทก์ได้ซื้อที่ดินบางส่วนของจำเลยจำนวนเนื้อที่ 9 ไร่เศษ และเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวอย่างเป็นเจ้าของโดยอาศัยคันนาเป็นจุดแบ่งเขตที่ดิน ที่ดินส่วนที่เหลือนายถ่าย เงินสลุง เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์อยู่โดยซื้อมาจากจำเลยเช่นเดียวกัน ในการตกลงซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นการตกลงด้วยวาจาไม่มีการทำสัญญากันเป็นหนังสือและมิได้จดทะเบียนซื้อขายกันเพราะไม่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่จะนำไปจดทะเบียน แต่จำเลยได้มอบใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 11 ) และใบ ภ.บ.ท. 5 ให้โจทก์ยึดถือไว้ตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 หลังจากที่โจทก์ซื้อที่ดินดังกล่าวจากจำเลยแล้ว โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยในราคา 50,000 บาท แต่ชำระให้แก่จำเลยเพียง 45,000 บาท ส่วนอีก 5,000 บาท ตกลงชำระเมื่อจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์แล้ว ส่วนจำเลยมีตัวจำเลย นายสังวาลย์ เงินสลุง นายสว่าง เงินสลุง เป็นบุตรของจำเลยทั้งสองคนกับนายชวลิต จั่นแสง พนักงานสำนักงานที่ดินอำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี มาเบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ทะเบียนเลขที่ 1632 ตำบลโคกสลุง อำดเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี โจทก์เป็นบุตรของพี่ชายจำเลย ได้มาขออาศัยทำกินในที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ โดยไม่ได้คิดค่าเช่าโดยโจทก์รับจะช่วยออกเงินค่าภาษีบำรุงท้องที่ให้ด้วย นายสังวาลย์บุตรจำเลยจึงมอบหลักฐานการเสียภาษีบำรุงท้องที่ให้ไว้แก่โจทก์ จำเลยไม่เคยตกลงขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ และไม่เคยรับเงินจากโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ จำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยแบ่งขายที่ดินและรับเงินค่าที่ดินจากโจทก์ ทั้งไม่เคยมอบการครอบครองที่ดินให้แก่โจทก์ โจทก์กล่าวอ้างข้อเท็จจริง จำเลยให้การปฏิเสธ ภาระการพิสูจน์ในประเด็นข้อนี้ตกโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 จากข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบมา การซื้อขายที่ดินตามที่โจทก์อ้างไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือไม่มีหลักฐานการรับเงิน จำวันที่ที่ตกลงซื้อขายก็ไม่ได้ จำนวนเงินที่ตกลงซื้อขายเป็นเงินจำนวนมากพอสมควรเมื่อคิดพิจารณาถึงฐานะความเป็นอยู่ของโจทก์และจำเลยตามพฤติการณ์แห่งคดีนี้แล้ว ข้ออ้างโจทก์ที่นำสืบมาไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ส่วนพยานโจทก์ปากอื่น ๆ ก็เพียงแต่นำสืบว่าเห็นโจทก์ทำนาในที่ดินพิพาทไม่ได้รู้เห็นเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินพิพาทแต่อย่างใด ส่วนจำเลยสามารถนำสืบแสดงให้เห็นถึงความเป็นมาของที่ดินพิพาท และมีหลักฐานแสดงบ่งบอกว่าจำเลยนำที่ดินทั้งแปลงไปจำนองไว้แก่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ จำกัด สาขาพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี เมื่อปี 2537 จำเลยไม่เคยรับเงินจากโจทก์ ทั้งไม่เคยทำหลักฐานการโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์พยานหลักฐานจำเลยมีน้ำหนักรับฟังดีกว่าพยานหลักฐานโจทก์ กล่าวโดยสรุปข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบมายังรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยขายที่ดินพิพาทและมอบการครอบครองตามฟ้องให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีทางชนะคดีจำเลย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาทุกข้อของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share