คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 523/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะนำระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง พ.ศ. 2519 มาใช้บังคับเพราะโจทก์ไม่ใช่ลูกจ้างประจำของจำเลย หากศาลฟังว่าโจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธินำค่าครองชีพมารวมกับค่าจ้างเพื่อคำนวณเงินบำเหน็จเพราะค่าครองชีพไม่ใช่ค่าจ้างตามระเบียบดังกล่าว หากศาลฟังว่าโจทก์มีสิทธินำค่าครองชีพมารวมกับค่าจ้างเพื่อคำนวณเงินบำเหน็จ โจทก์ก็มีอายุงานที่จะได้รับเงินบำเหน็จตามฟ้อง เป็นคำให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ที่ชัดแจ้งแล้ว ส่วนที่ว่าหากศาลฟังว่าอย่างไรนั้น เป็นการกล่าวอ้างถึงคำวินิจฉัยของศาลหาใช่ยืนยันข้อเท็จจริงนั้นไม่ดังนี้ เป็นคำให้การที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสองแล้ว
เงินบำเหน็จลูกจ้างไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องจ่ายให้ลูกจ้างทันที่เมื่อเลิกจ้างจึงต้องทวงถามก่อน มิฉะนั้นจะได้รับดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้อง.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสิบสองสำนวนฟ้องว่าจำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างประจำของโรงงานกระดาษบางปะอิน ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างเหตุยุบเลิกกิจการ จำเลยจ่ายบำเหน็จให้โจทก์ไม่ครบตามสิทธิกล่าวคือ ตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง พ.ศ. 2519ที่ใช้บังคับอยู่ได้กำหนดวิธีคำนวณจ่ายบำเหน็จปกติให้แก่ลูกจ้างประจำที่ต้องออกจากงานเพราะเหตุยุบตำแหน่งหรือถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิดโดยให้มีจำนวนเท่ากับค่าจ้างเดือนสุดท้ายคูณด้วยจำนวนปีเวลาทำงาน แต่จำเลยได้จ่ายเงินบำเหน็จให้โจทก์โดยมิได้นำเงินค่าครองชีพมารวมคำนวณด้วย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินบำเหน็จส่วนที่ขาดให้แก่โจทก์ตามสิทธิพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสิบสองสำนวนให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะนำระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง พ.ศ. 2519 มาใช้บังคับ เพราะโจทก์ไม่ใช่ลูกจ้างประจำของจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง หากศาลฟังว่าโจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธินำค่าครองชีพมารวมกับค่าจ้างเพื่อคำนวณเงินบำเหน็จ เพราะค่าครองชีพไม่ใช่ค่าจ้าง โจทก์ไม่เคยทวงถาม จำเลยจึงไม่ผิดนัด ไม่ต้องรับผิดในดอกเบี้ย
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จที่ขาดให้โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยทั้งสิบสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “จำเลยอุทธรณ์ข้อแรกว่าคำให้การของจำเลยชัดแจ้ง ไม่ได้ขัดกันดังคำพิพากษาศาลแรงงานกลางเพราะจำเลยได้ยื่นคำให้การในทำนองเดียวกันนี้ในคดีหมายเลขแดงที่4896-4915/2531 ศาลก็ไม่ได้พิพากษาว่าคำให้การของจำเลยขัดกันหรือไม่ชัดแจ้ง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำให้การขัดกันเองได้แก่คำให้การที่ยืนยันข้อเท็จจริงหลายทาง เรื่องนี้จำเลยให้การยืนยันว่าโจทก์ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลย ส่วนที่ให้การต่อไปนั้นก็เป็นการปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์เป็นลำดับไปเป็นคำให้การที่ชัดแจ้งแล้ว ส่วนถ้อยคำตามคำให้การที่ว่า หากศาลฟังว่าอย่างไรนั้นเป็นการกล่าวอ้างถึงคำวินิจฉัยของศาล หาใช่ยืนยันข้อเท็จจริงนั้น ๆ ไม่ คำให้การของจำเลยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177วรรคสองแล้ว…
จำเลยอุทธรณ์เป็นข้อสุดท้ายว่า โจทก์ไม่เคยทวงถามเรียกเงินบำเหน็จจากจำเลย จำเลยยังไม่ผิดนัด ไม่ต้องรับผิดในดอกเบี้ยแก่โจทก์ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เงินบำเหน็จเป็นเงินที่จำเลยจ่ายตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง พ.ศ. 2519ไม่มีกฎหมายบังคับให้จำเลยต้องจ่ายแก่ลูกจ้างทันทีเมื่อเลิกจ้างดังเช่นค่าชดเชย จำเลยจะผิดนัดก็ต่อเมื่อโจทก์ได้ทวงถามก่อน แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จเมื่อใด โจทก์จึงชอบที่จะได้รับดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไปจึงไม่ถูกต้อง…”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสิบสองนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share