คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5220/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีโจทก์ถูกทำละเมิดจนต้องกลายเป็นคนทุพพลภาพค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายในอนาคตค่าจ้างคนขับรถยนต์ตลอดชีวิตค่าเสียหายมิใช่ตัวเงินกรณีเสียโฉมและเสียบุคคลิกภาพค่าเสียความสามารถประกอบการงานในอนาคตและค่าทุกข์ทรมานเป็นหนี้อันเกิดแต่มูลละเมิดซึ่งศาลกำหนดค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับความเสียหายมาแล้วตั้งแต่วันทำละเมิดเมื่อโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงินก้อนแม้จะขอค่าเสียหายที่คำนวณในอนาคตเข้ามาด้วยจำเลยก็ต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่วันทำละเมิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2531 จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อส่วนบุคคลซึ่งจำเลยที่ 3 ได้รับประกันภัยค้ำจุนไว้ไปในทางที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาททำให้รถเสียการทรงตัวพุ่งข้ามเกาะกลางถนนชนรถยนต์ที่โจทก์นั่งมา ทำให้ผู้ขับรถยนต์เสียชีวิตและโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้องจำนวน 2,408,371 บาท แก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 2,244,206 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และไม่มีนิติสัมพันธ์ใดกับจำเลยที่ 2 ทั้งสิ้นเหตุแห่งคดีนี้มิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่ฝ่ายเดียวหากแต่เกิดจากความประมาทของผู้ขับรถยนต์คันที่โจทก์นั่งมาด้วยส่วนค่ารักษาพยาบาลและค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ฟ้องมานั้น โจทก์เสียหายจริงเพียงไม่เกิน 237,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกสิบล้อส่วนบุคคลที่โจทก์อ้างในฟ้องจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 2 ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ไม่ได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชดใช้เงินจำนวน751,697 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2จ่ายเงินให้โจทก์เพิ่มอีก 817,093 บาท รวมค่าเสียหายทั้งสิ้นเป็นเงิน 1,568,790 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2531เวลาประมาณ 17.30 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 81-2805 นครปฐม ซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของในทะเบียนรถด้วยความประมาทเลินเล่อแล่นข้ามเกาะกลางถนนไปชนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลหมายเลขทะเบียน 5จ-2716 ซึ่งแล่นสวนทางมาเป็นเหตุให้นายประโชติ เปล่งวิทยา เจ้าของและผู้ขับรถยนต์ดังกล่าว และนางสาวพรประภา กาญจนรินทร์ ที่นั่งด้านหน้าคู่กับนายประโชติถึงแก่ความตาย ส่วนโจทก์ซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังทางขวาได้รับอันตรายสาหัส มีอาการอัมพาตตั้งแต่ส่วนคอลงมาจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและกระทำละเมิดไปในทางการจ้างของจำเลยที่ 2 แล้วกำหนดให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายในอนาคต ค่าจ้างคนขับรถยนต์ตลอดชีวิต ค่าเสียหายมิใช่ตัวเงินกรณีเสียโฉมและเสียบุคลิกภาพ ค่าเสียความสามารถประกอบการงานในอนาคตและค่าทุกข์ทรมานให้แก่โจทก์ และวินิจฉัยข้อกฎหมายตามปัญหา จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องร่วมกันรับผิดชำระดอกเบี้ยในเงินค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์นับแต่วันกระทำละเมิดหรือไม่ว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 206 บัญญัติไว้ชัดแจ้งว่า ในกรณีอันเกิดแต่มูลละเมิด ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่ทำละเมิด การที่ศาลกำหนดจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชดใช้นั้น มิใช่ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายตั้งแต่วันพิพากษาศาลเป็นแต่กำหนดค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับความเสียหายมาแล้วตั้งแต่วันทำละเมิดและกฎหมายก็บัญญัติไว้ให้ถือว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผิดนัดตั้งแต่วันทำละเมิดจึงต้องเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่จะต้องชดใช้ตั้งแต่วันทำละเมิดการที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงินก้อน แม้จะขอค่าเสียหายที่คำนวณในอนาคตเข้ามาด้วยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็จะต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่วันทำละเมิด
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี สำหรับจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทน1,568,790 บาท นับแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2531 อันเป็นวันกระทำละเมิดไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share