คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5204/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองลำตะคอง ซึ่งต่างฝ่ายต่างได้รับจัดสรรที่ดินให้เข้าครอบครอง ต่อมาจำเลยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์และสามีโจทก์โดยมีการส่งมอบที่ดินให้เข้าครอบครองแล้ว แต่โจทก์และสามีไม่อาจอ้างชื่อตนเหนือที่ดินพิพาทแสดงต่อนิคมหรือทางราชการได้ เนื่องจากโจทก์และสามีมีที่ดิน ที่ได้รับจัดสรรอยู่ก่อนแล้วเมื่อนำมารวมกับที่ดินพิพาทจะเกินสิทธิที่จะพึงได้รับ และพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ห้ามโอนสิทธิการเข้าทำประโยชน์ให้ผู้อื่นในขณะนั้นโดยไม่ได้รับอนุญาตโจทก์และสามีจึงต้องปล่อยให้ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินจัดสรรในนามจำเลย โดยมีข้อตกลงระหว่างกันเองว่า จำเลยจะจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินพิพาทให้โจทก์และสามีเมื่อถึงเวลาที่กฎหมายหรือกฎระเบียบอนุญาตให้กระทำได้ การกระทำของโจทก์จึงเป็นการจงใจหลีกเลี่ยงข้อห้ามตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพฯ มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย จึงตกเป็นโมฆะ โจทก์และสามีไม่อาจบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้ แต่จำเลยเองก็ปฏิบัติฝ่าฝืน พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพฯ และจำเลยได้สละสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทแล้ว จำเลยย่อมหมดสิทธิทุกประการเหนือที่ดินพิพาท จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์กับนายกรุ่น ปาซ่อนกลิ่น ตกลงซื้อที่ดินมือเปล่าอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ประมาณ26 ไร่ จากจำเลย ในราคา 200,000 บาท โจทก์กับนายกรุ่นวางเงินมัดจำ 70,000 บาทจำเลยส่งมอบการครอบครองที่ดินแก่โจทก์ โจทก์กับนายกรุ่นครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวโดยสงบด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาจนปัจจุบันเป็นเวลา 14 ปีโจทก์กับนายกรุ่นนำเงินส่วนที่เหลือ 130,000 บาท ไปชำระแก่จำเลย โจทก์กับนายกรุ่นกับจำเลยตกลงกันอีกว่า หากทางราชการออกเอกสารสิทธิที่ดินดังกล่าวแก่จำเลยจำเลยจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองแก่โจทก์ทันที ประมาณปี 2529 ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินที่ซื้อขาย คือ น.ส.3 ก. เลขที่ 810เนื้อที่ 34 ไร่ 2 งาน 60 ตารางวา แก่จำเลย จำเลยมอบ น.ส.3 ก. เลขที่ 810 ให้โจทก์ยึดถือไว้ ต่อมาโจทก์ขอให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินแก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้พิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 810 ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา แก่โจทก์ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีคำพิพากษา หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่เคยตกลงจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์ ทั้งไม่เคยมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์แก่โจทก์จำเลยไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และคดีขาดอายุความฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม ที่ดินตามฟ้องตกอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 334 และฉบับที่ 351ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ซึ่งต้องห้ามมิให้โอนที่ดินให้ผู้อื่นนอกจากได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานให้เข้าไปทำประโยชน์ยึดถือครอบครอง ดังนั้นการทำสัญญามัดจำและซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยฝ่าฝืนต่อกฎหมายเป็นโมฆะมาแต่ต้นจึงไม่อาจบังคับกันได้ข้อกล่าวอ้างของโจทก์เป็นการซื้อขายโดยมีเงื่อนไข ดังนั้น การครอบครองที่พิพาทของโจทก์จึงเป็นการครอบครองแทนจำเลย จำเลยไม่ประสงค์ที่จะให้โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินของจำเลยอีกต่อไป ที่ดินดังกล่าวหากนำออกให้เช่าจะได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่าเดือนละ 5,000 บาท ขอให้ยกฟ้องโจทก์และขับไล่โจทก์ ให้โจทก์ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดิน ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทอีกต่อไป ให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะออกจากที่ดินพิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์กับนายกรุ่นเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทโดยซื้อจากจำเลย โจทก์เสียภาษีในนามของตนเองจำเลยไม่มีสิทธิเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป ไม่มีสิทธิฟ้องแย้งขับไล่โจทก์และบริวารออกจากที่ดินและไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากโจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์และยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตนิคมสร้างตนเองลำตะคอง ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 351 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 และพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 โจทก์และจำเลยเป็นสมาชิกนิคม จำเลยได้รับจัดสรรที่ดินพิพาทให้เข้าครอบครอง ส่วนโจทก์ได้รับจัดสรรที่ดินแปลงอื่นให้เข้าครอบครองอยู่แล้ว เมื่อปี 2524 จำเลยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์และนายกรุ่น ปาซ่อนกลิ่น สามีโจทก์ โดยจำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์และสามีเข้าครอบครอง จำเลยเองย้ายไปอยู่จังหวัดอื่น แต่โจทก์และสามีไม่อาจอ้างชื่อตนเหนือที่ดินพิพาทแสดงต่อนิคมหรือทางราชการได้ เนื่องจากโจทก์และสามีมีที่ดินที่ได้รับจัดสรรอยู่ก่อนแล้ว เมื่อนำมารวมกับที่ดินพิพาทจะเกินสิทธิที่จะพึงได้รับจัดสรรประการหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ห้ามโอนสิทธิการเข้าทำประโยชน์ให้ผู้อื่นในขณะนั้นโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกประการหนึ่งโจทก์และสามีจึงต้องปล่อยให้ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินจัดสรรในนามจำเลยเป็นผู้ครอบครองต่อมา และขอให้ทางราชการออกหลักฐานเกี่ยวกับที่ดินพิพาทในนามจำเลยตลอดมาโดยมีข้อตกลงระหว่างกันเองว่า จำเลยจะจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินพิพาทให้โจทก์และสามีเมื่อถึงเวลาที่กฎหมายหรือกฎระเบียบอนุญาตให้กระทำได้ แต่จำเลยบิดพลิ้ว ข้อที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ให้แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์จงใจหลีกเลี่ยงข้อห้ามตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 การกระทำของโจทก์มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายจึงตกเป็นโมฆะ และพิพากษายกฟ้องโจทก์คดีถึงที่สุด คงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ข้อที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาทนั้น จำเลยมีสิทธิขอได้หรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อสัญญาระหว่างโจทก์ สามีโจทก์และจำเลยจะตกเป็นโมฆะโจทก์และสามีไม่อาจบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้ แต่จำเลยเองก็ปฏิบัติฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 และจำเลยได้สละสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทแล้ว จำเลยย่อมหมดสิทธิทุกประการเหนือที่ดินพิพาท จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาทศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share