แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ย้ายไปรับราชการตามจังหวัดต่างๆโดยจำเลยมิได้ติดตามไปด้วยโจทก์มีหน้าที่จะต้องกลับมาเยี่ยมเยียนดูแลบุตรภริยาการที่โจทก์ไม่ยอมกลับมาเยี่ยมจำเลยและบุตรจะถือว่าเป็นการแยกกันโดยความสมัครใจของจำเลยด้วยไม่ได้เมื่อเป็นความสมัครใจของโจทก์แต่ฝ่ายเดียวโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1516(4/2)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จดทะเบียนสมรสกับจำเลย ระหว่างสมรสมีสินสมรสเป็นที่ดิน 3 แปลง รวมราคา 1,100,000 บาท ตั้งแต่ปี2528 จำเลยก่อหนี้สินจำนวนมาก และมีเรื่องทะเลาะกับญาติพี่น้องโจทก์ โจทก์จำเลยสมัครโจทก์แยกกันอยู่กว่า 4 ปีแล้ว โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยจดทะเบียนหย่าและแบ่งสินสมรสแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้พิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์และแบ่งสินสมรสแก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง
จำเลยให้การว่า โจทก์รับราชการอยู่ต่างจังหวัด จำเลยเป็นผู้เลี้ยงบุตรอยู่ที่บ้านโดยโจทก์เป็นฝ่ายกลับมาเยี่ยม ตั้งแต่ปี2530 โจทก์ไปมีสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหญิงอื่น โจทก์เป็นฝ่ายทอดทิ้งจำเลย การที่โจทก์ไม่ไปมาหาสู่จำเลยเป็นการกระทำโดยสมัครใจของแยกกันอยู่กับโจทก์แต่อย่างใด ที่ดินสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยมีเฉพาะที่ดินโฉนดเลขที่ 12424 เท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์จำเลยสมัครใจแยกกันอยู่ เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปีหรือไม่ เห็นว่า การที่ต้องแยกกันอยู่โดยสภาพครอบครัวที่โจทก์ต้องย้ายไปรับราชการตามจังหวัดต่าง ๆ ที่จำเลยมิได้ติดตามไปด้วย ซึ่งโจทก์มีหน้าที่ที่จะต้องกลับมาเยี่ยมเยียนดูแลบุตรภริยา เมื่อโจทก์ไม่ยอมกลับมาเยี่ยมจำเลยและบุตรอีกจะถือว่าเป็นการแยกกันโดยความสมัครใจของจำเลยด้วยหาได้ไม่่เพราะจำเลยยังรักใคร่หึงหวงในตัวโจทก์อยู่ โดยจำเลยได้ร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์เองด้วย ซึ่งเห็นอย่างชัดแจ้งว่าจำเลยมิได้สมัครใจที่จะแยกทางกับโจทก์แต่อย่างใดเมื่อการแยกกันอยู่นั้นมิใช่ด้วยความสมัครใจของจำเลย การที่โจทก์จำเลยแยกกันอยู่เช่นนี้ก็โดยลำพังความสมัครใจของโจทก์แต่ฝ่ายเดียวหาทำให้เกิดสิทธิฟ้องหย่าจำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1516(4/2)
พิพากษายืน