คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5175-5177/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับจำเลย แต่มิได้เป็นกรณีร้ายแรง ส่วนโจทก์ที่ 3 ไม่ได้กระทำผิดข้อบังคับของจำเลย จำเลยมีคำสั่งเพิกถอนการไล่ออกแก่โจทก์ทั้งสามตามมติของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลย คำสั่งไล่ออกแก่โจทก์ที่ 3 ย่อมไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ที่ 3 โจทก์ที่ 3 จึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายเนื่องจากต้องออกจากงานในช่วงระยะเวลาที่ถูกเลิกจ้างจนถึงวันกลับเข้าทำงาน ส่วนโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายเนื่องจากโจทก์ที่ 1 และที่ 2 กระทำผิดข้อบังคับของจำเลย กรณีไม่ใช่คำสั่งของจำเลยไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 แต่อย่างใด การที่จำเลยระบุในคำสั่งเพิกถอนการไล่ออกแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ว่า ในระหว่างถูกลงโทษไล่ออกจากงาน โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินเดือนและสิทธิประโยชน์ใด ๆ จากจำเลย เว้นแต่อายุการทำงานให้นับต่อเนื่องได้โดยไม่นับรวมระยะเวลาที่มิได้ปฏิบัติงานในช่วงที่ถูกลงโทษไล่ออก จึงชอบด้วยระเบียบข้อบังคับของจำเลยแล้ว

ย่อยาว

คดีทั้งสามสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสามสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับ และเรียกจำเลยทั้งสามสำนวนว่าจำเลย
โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องเป็นใจความอย่างเดียวกันขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 รวมเป็นเงิน 2,262,334 บาท โจทก์ที่ 2 จำนวน 2,242,904 บาท โจทก์ที่ 3 จำนวน 3,175,328 บาท
จำเลยทั้งสามสำนวนให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามว่า จำเลยต้องจ่ายค่าจ้าง ค่าเช่าซื้อ ค่าเบี้ยเลี้ยงปฏิบัติงาน ค่ารักษาพยาบาล เงินโบนัส ตลอดจนค่าเสียหายและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ในระหว่างที่โจทก์ทั้งสามถูกไล่ออกจากงานจนถึงวันกลับเข้าทำงานแก่โจทก์ทั้งสามหรือไม่ เห็นว่า สำหรับโจทก์ที่ 1 และที่ 2 นั้น แม้คณะกรรมการอุทธรณ์ของจำเลยจะมีมติให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ให้โจทก์ทั้งสองออกจากงานก็ตาม แต่คณะกรรมการอุทธรณ์ของจำเลยก็วินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 1 ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่มิใช่เป็นเกษตรกรเข้ามาเป็นลูกค้าเงินกู้ ซึ่งเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของจำเลย และโจทก์ที่ 2 ตรวจสอบประเมินราคาที่ดินของลูกค้าโดยบันทึกข้อมูลไม่ถูกต้อง กับไม่ใช้ความละเอียดรอบคอบตามสมควรในการขึ้นทะเบียนรับบุคคลที่มิใช่เป็นเกษตรกรเข้าเป็นลูกค้าของจำเลย เป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของจำเลย ให้ลงโทษลดขั้นเงินเดือนแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 คนละ 2 ขั้น แทนการลงโทษไล่ออก มติของคณะกรรมการอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นกรณีที่วินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสองมีความผิดไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยแต่มิได้เป็นกรณีร้ายแรงตามที่ถูกกล่าวหา และมีเหตุอันควรลดโทษให้ ฉะนั้นการที่จำเลยมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งไล่ออกแก่โจทก์ทั้งสอง และให้ลงโทษแก่โจทก์ทั้งสองเป็นลดขั้นเงินเดือนคนละ 2 ขั้นแทนนั้น ย่อมเป็นการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยฉบับที่ 9 ว่าด้วยวินัยการสอบสวนและการลงโทษสำหรับพนักงานและลูกจ้างแล้ว และโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ไม่มีสิทธิเรียกร้องหรือประโยชน์ใด ๆ จากจำเลยทั้งสิ้น เว้นแต่มีเหตุอันควร คณะกรรมการของจำเลยอาจคืนสิทธิหรือประโยชน์ใด ๆ แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ก็ได้ ตามข้อบังคับของจำเลยดังกล่าวข้อที่ 13 วรรคสอง เมื่อคณะกรรมการของจำเลยพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 แล้ว มีมติให้เพิกถอนคำสั่งไล่ออกแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 โดยให้ลงโทษลดขั้นเงินเดือนคนละ 2 ขั้น เท่านั้น คณะกรรมการดังกล่าวมิได้มีความเห็นให้คืนสิทธิหรือประโยชน์ใด ๆ แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 แต่อย่างใด ฉะนั้นการที่จำเลยระบุในคำสั่งเพิกถอนการไล่ออกแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ว่า ในระหว่างที่ถูกลงโทษไล่ออกจากงาน โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินเดือนและสิทธิประโยชน์ใด ๆ จากจำเลย เว้นแต่อายุการทำงานให้นับต่อเนื่องได้โดยไม่นับรวมระยะเวลาที่มิได้ปฏิบัติงานในช่วงที่ถูกลงโทษไล่ออกจึงชอบด้วยระเบียบข้อบังคับของจำเลยแล้ว นอกจากนี้คำสั่งของจำเลยที่ให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ออกจากงานในเบื้องต้นนั้นสืบเนื่องจากการกระทำความผิดของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 คำสั่งของจำเลยดังกล่าวไม่เป็นคำสั่งที่ไม่เป็นธรรมแต่อย่างใด โจทก์ที่ 2 ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
ส่วนโจทก์ที่ 3 นั้น เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยมีมติว่าโจทก์ที่ 3 ไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา คำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นอันถึงที่สุด ตามข้อบังคับของจำเลยฉบับที่ 9 ว่าด้วยวินัย การสอบสวนและการลงโทษสำหรับพนักงานและลูกจ้าง ข้อ 14 วรรคท้าย การที่จำเลยมีคำสั่งเพิกถอนการไล่ออกแก่โจทก์ที่ 3 ตามมติของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ มิใช่เป็นการงดโทษหรือลดโทษแก่โจทก์ที่ 3 เนื่องจากโจทก์ที่ 3 มิได้มีความผิดแต่อย่างใด โจทก์ที่ 3 จึงมิใช่เป็นผู้เสียสิทธิในการเรียกร้องสิทธิหรือประโยชน์ใด ๆ ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของจำเลยข้อที่ 13 วรรคสอง จำเลยไม่มีสิทธิอ้างข้อบังคับดังกล่าวเป็นเหตุไม่จ่ายเงินเดือนและสิทธิประโยชน์ใด ๆ ในระหว่างที่โจทก์ที่ 3 ถูกลงโทษไล่ออกจากงาน คำสั่งของจำเลยที่ 344/2545 เรื่องการเพิกถอนคำสั่งลงโทษไล่ออกตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ระบุว่าในระหว่างที่ถูกไล่ออกจากงาน โจทก์ที่ 3 (ผู้ถูกลงโทษ) ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินเดือนและสิทธิประโยชน์ใด ๆ จากจำเลย จึงไม่ชอบด้วยข้อบังคับของจำเลยข้อที่ 13 วรรคสอง แต่อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงรับฟังยุติว่าในระหว่างวันที่ 2 พฤศจิกายน 2544 ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2545 ที่จำเลยมีคำสั่งไล่ออกแก่โจทก์ที่ 3 นั้น โจทก์ที่ 3 มิได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะพนักงานจำเลยแต่อย่างใด ในระหว่างระยะเวลาดังกล่าวโจทก์ที่ 3 มิได้มีฐานะเป็นพนักงานของจำเลย จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินเดือนและสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ในฐานะพนักงานจากจำเลย แต่การที่จำเลยมีคำสั่งไล่ออกแก่โจทก์ที่ 3 โดยที่ไม่มีความผิดย่อมไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ที่ 3 ฉะนั้นโจทก์ที่ 3 จึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหาย เนื่องจากต้องออกจากงานในช่วงระยะเวลาดังกล่าวจากจำเลยได้ อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 3 ที่เรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า โจทก์ที่ 3 มีสิทธิเรียกค่าเสียหายเนื่องจากต้องออกจากงานในระหว่างวันที่ 2 พฤศจิกายน 2544 ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2545 จากจำเลย ให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 3 แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.

Share