คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5175-5176/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยาน แต่เจ้าพนักงานตำรวจพบจำเลยทั้งสามในบริเวณใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุวางเพลิงเผาทรัพย์เกือบจะทันทีทันใดภายหลังเกิดเหตุโดยมีอุปกรณ์ซึ่งสามารถใช้ในการกระทำผิด อุปกรณ์บางอย่างเก็บไว้ในที่ซึ่งบุคคลทั่วไปไม่ใช้เป็นที่เก็บ โดยเศษผ้าลายชุบน้ำมัน 2 ผืนอยู่ในกระเป๋ากางเกงของจำเลยที่ 2 และตามเนื้อตัวเสื้อผ้าของจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีรอยเปื้อนน้ำมัน นอกจากนี้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ขับรถจักรยานยนต์โดยไม่เปิดไฟหน้าในลักษณะคล้ายกับกระทำผิดมาแล้วจะหลบหนี เมื่อเห็นจุดตรวจจำเลยที่ 2 ได้ขว้างขวดทิ้ง จากการตรวจพบว่าเป็นขวดแก้วมีคราบน้ำมันเป็นพิรุธถือได้ว่าพยานโจทก์เป็นพยานแวดล้อม กรณีบ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นตามฟ้อง

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยโจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องมีข้อความทำนองเดียวกันว่า เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2540เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสามร่วมกันวางเพลิงเผาป้ายรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดขององค์การบริหารส่วนตำบลริโก๋ 1 ป้าย และขององค์การบริหารส่วนตำบลกาวะ 1 ป้าย โดยใช้เศษผ้าชุบน้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงและใช้ไฟแช็กแก๊สจุดไฟเผาจนป้ายดังกล่าวเกิดไฟลุกไหม้เสียหาย เหตุเกิดที่ตำบลริโก๋และตำบลกาวะ อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 217, 83, 33 ริบของกลางและนับโทษจำเลยทั้งสามติดต่อกันทั้งสองสำนวน

จำเลยทั้งสามทั้งสองสำนวนให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามทั้งสองสำนวนมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 217 ประกอบด้วยมาตรา 83 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามสำนวนละ 2 ปี รวม 2 สำนวน ลงโทษจำคุกคนละ 4 ปีจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามคงลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี 8 เดือน ริบของกลาง เมื่อศาลรวมโทษทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกันแล้วจึงให้ยกคำขอให้นับโทษต่อเสีย

จำเลยทั้งสามทั้งสองสำนวนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง คืนของกลางให้แก่เจ้าของ

โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาโดยจำเลยมิได้โต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องมีคนร้ายลอบวางเพลิงเผาป้ายรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดขององค์การบริหารส่วนตำบลริโก๋ 1 ป้าย และขององค์การบริหารส่วนตำบลกาวะ 1 ป้าย ซึ่งอยู่ริมถนนจารุเสถียรได้รับความเสียหายหลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสามได้ขณะกำลังขับรถจักรยานยนต์อยู่ที่ถนนดังกล่าว ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นตามฟ้องทั้งสองสำนวนหรือไม่ โจทก์มีพันตำรวจโทเดโช จุลแก้ว นายดาบตำรวจบุญฤทธิ์ชูฟอง และร้อยตำรวจโทสงกรานต์ บูรณศักดิ์ ซึ่งเป็นผู้ร่วมจับกุมและสอบสวนเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุพันตำรวจโทเดโชและนายดาบตำรวจบุญฤทธิ์กับพวกกำลังตรวจท้องที่ส่วนร้อยตำรวจโทสงกรานต์ปฏิบัติหน้าที่เป็นร้อยเวรสอบสวนอยู่ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอสุไหงปาดี ได้รับแจ้งทางวิทยุสื่อสารว่ามีคนร้ายลอบวางเพลิงเผาป้ายต่อต้านยาเสพติดที่ปากทางเข้าบ้านกูวา ตำบลริโก๋จึงได้รีบไปยังที่เกิดเหตุและช่วยกันดับไฟ ต่อมาประมาณ 10 นาทีได้รับแจ้งจากเจ้าพนักงานตำรวจสายตรวจว่ามีคนร้ายเผาป้ายอีกแห่งหนึ่งที่ตำบลกาวะซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 1 กิโลเมตร พันตำรวจโทเดโชจึงสั่งให้นายดาบตำรวจบุญฤทธิ์กับพวกขับรถจักรยานยนต์ติดตามคนร้ายไป และสั่งให้ตั้งจุดตรวจที่ถนนจารุเสถียรบริเวณหมู่บ้านจะแวบ๊ะระหว่างทางนายดาบตำรวจบุญฤทธิ์กับพวกพบรถจักรยานยนต์ 2 คันไม่เปิดไฟหน้าแล่นสวนทางมา โดยจำเลยที่ 1เป็นผู้ขับมา 1 คัน และจำเลยที่ 3 เป็นผู้ขับมีจำเลยที่ 2 นั่งซ้อนท้ายรถมาอีก1 คัน นายดาบตำรวจบุญฤทธิ์จึงเลี้ยวกลับรถขับตามมา เมื่อมาถึงจุดตรวจเจ้าพนักงานตำรวจได้ใช้ไฟสปอร์ตไลท์ส่องหน้าจำเลยทั้งสามทำท่าจะหลบหนีและจำเลยที่ 2 ขว้างขวดทิ้ง พันตำรวจโทเดโชกับพวกจับกุมจำเลยทั้งสามไว้ได้และตรวจค้นพบแผ่นป้ายทะเบียนรถจักรยานยนต์และกระป๋องน้ำมันเครื่องยี่ห้อมอลล่าขนาด 1 ลิตร ที่ตะแกรงหน้ารถมีน้ำมันโซล่าอยู่ประมาณครึ่งกระป๋องพบไฟแช็ก 1 อัน กับเศษผ้าลายชุบน้ำมัน 2 ผืนในกระเป๋ากางเกงของจำเลยที่ 2ตามเนื้อตัวและเสื้อผ้าของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 มีรอยเปื้อนน้ำมัน และยึดได้ขวดเปล่า 1 ใบที่จำเลยที่ 2 ขว้างทิ้ง จากการสอบถามเบื้องต้น จำเลยทั้งสามรับว่าเป็นผู้เผาป้ายต่อต้านยาเสพติดทั้งสองป้ายโดยจำเลยที่ 1เป็นผู้รับจ้างมาจากนายมะซึ่งเป็นชาวมาเลเชียในราคา 500 ดอลลาร์มาเลเชียแล้วจำเลยที่ 1 ว่าจ้างจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้เป็นผู้เผาป้ายเป็นเงินค่าจ้าง3,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 ซื้อน้ำมันมาจากปั้มน้ำมันของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยที่อำเภอสุไหงโก-ลก ฝ่ายจำเลยทั้งสามอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่าขณะถูกจับจำเลยทั้งสามกลับจากไปเที่ยวที่อำเภอสุไหงโก-ลกเจ้าพนักงานตำรวจได้ทำร้ายร่างกายและเอาน้ำมันมาราดใส่จำเลยที่ 2 และที่ 3 บังคับให้รับสารภาพเห็นว่า แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นขณะกระทำผิด แต่พยานโจทก์ดังกล่าวพบจำเลยทั้งสามในบริเวณใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุเกือบจะทันทีทันใดภายหลังเกิดเหตุ โดยมีอุปกรณ์ซึ่งสามารถใช้ในการกระทำผิด อุปกรณ์บางอย่างเก็บไว้ในที่ซึ่งบุคคลทั่วไปไม่ใช้เป็นที่เก็บโดยเศษผ้าลายชุบน้ำมัน 2 ผืนอยู่ในกระเป๋ากางเกงของจำเลยที่ 2 และตามเนื้อตัวเสื้อผ้าของจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีรอยเปื้อนน้ำมันนอกจากนี้จำเลยที่ 1และที่ 3 ขับรถจักรยานยนต์โดยไม่เปิดไฟหน้าในลักษณะคล้ายกับกระทำผิดมาแล้วจะหลบหนี เมื่อเห็นจุดตรวจจำเลยที่ 2 ได้ขว้างขวดทิ้งจากการตรวจในภายหลังพบว่าเป็นขวดแก้วแบบสุราแม่โขงมีคราบน้ำมันเป็นพิรุธถือได้ว่าพยานโจทก์ทั้งสามเป็นพยานแวดล้อม กรณีบ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำผิดมาแล้วสด ๆ ที่จำเลยทั้งสามนำสืบว่าเจ้าพนักงานตำรวจเอาขวดมาจากท้ายรถยนต์กระบะเอาน้ำมันมาราดใส่จำเลยที่ 2 และที่ 3 และรุมกันทำร้ายร่างกายจนจำเลยที่ 2 สลบไป แล้วยกจำเลยที่ 2 ขึ้นใส่รถนั้นเห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสามไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสามมาก่อนไม่มีเหตุที่จะเบิกความและสร้างพยานหลักฐานขึ้นเพื่อปรักปรำจำเลยทั้งสถานที่เกิดเหตุอยู่ริมถนน จำเลยที่ 1 ก็รับว่าระหว่างนั้นมีรถยนต์กระบะแล่นผ่านมา 1 คันไม่น่าเชื่อว่าเจ้าพนักงานตำรวจจะกล้ากระทำต่อจำเลยทั้งสามในที่สาธารณะซึ่งอาจมีผู้พบเห็นเป็นพยาน ที่จำเลยที่ 2 อ้างว่ามีบาดแผลฟกช้ำที่หน้าอกและที่แก้ม ได้แจ้งให้ญาติทราบว่าถูกทำร้าย แต่ไม่ปรากฏว่าได้มีการดำเนินการอย่างใดบัญชีของกลางคดีอาญา ซึ่งพนักงานสอบสวนได้จัดทำขึ้นภายหลังเกิดเหตุและจำเลยทั้งสามลงลายมือชื่อรับรองว่าถูกต้องก็ได้ระบุไว้ชัดว่ามีของกลางอะไรบ้างยึดได้จากใคร ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าเจ้าพนักงานตำรวจเอาขวดมาจากท้ายรถยนต์กระบะจึงเป็นข้ออ้างที่เลื่อนลอยชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสามก็ให้การรับสารภาพ และยังได้นำไปชี้ปั้มน้ำมันที่จำเลยที่ 1 ซื้อน้ำมันเพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงด้วย ที่พยานโจทก์ทั้งสามเบิกความแตกต่างกันเกี่ยวกับเวลาที่ได้รับแจ้งเหตุ สิ่งของที่จำเลยที่ 2 ขว้างทิ้งว่าเป็นขวดเปล่าหรือกระป๋องน้ำมันยี่ห้อมอลล่าเศษผ้าชุบน้ำมัน 2 ผืนอยู่ในกระเป๋ากางเกงหรืออยู่ที่หน้าตักของจำเลยที่ 2 ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ยกขึ้นเป็นข้อตำหนินั้น เห็นว่า เวลาที่ได้รับแจ้งเหตุเป็นเพียงการกะประมาณทั้งพยานอยู่คนละสถานที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน จึงไม่แน่ว่าจะได้รับแจ้งเหตุพร้อมกัน ปรากฏตามบัญชีทรัพย์ของกลางคดีอาญา ว่ามีทั้งขวดแก้วเปล่ามีคราบน้ำมันและกระป๋องน้ำมันเครื่องมอลล่า ร้อยตำรวจโทสงกรานต์อาจจำสับสนว่าจำเลยที่ 2 ขว้างสิ่งใดทิ้ง จึงเบิกความแตกต่างจากพยานอื่น ส่วนเศษผ้าชุบน้ำมัน 2 ผืนอยู่ในกระเป๋ากางเกงหรืออยู่ที่หน้าตักของจำเลยที่ 2 นับว่าอยู่ในที่ใกล้เคียงกันเศษผ้าดังกล่าวกว้างประมาณฝ่ามือยาวประมาณ 1 ช่วงแขน ถ้าจำเลยที่ 2ใส่กระเป๋ากางเกงไม่หมด ส่วนที่เหลือก็จะอยู่บนหน้าตักพยานจึงเห็นแตกต่างกันไป ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อพิรุธไม่น่าเชื่อแต่อย่างใด พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นตามฟ้องทั้งสองสำนวนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ทั้งสองสำนวนฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share