คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5167/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ตามพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ.2498 มาตรา 11 (2) (3) เมื่อพนักงานอัยการเห็นสมควรจะรับแก้ต่างให้ก็ได้ พนักงงานอัยการจึงมีฐานะอย่างเดียวกับทนายความ ตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ.2528 ที่จะมีอำนาจดำเนินคดีในศาลได้ก็ต่อเมื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 61 ปรากฏว่าก่อนที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การและบัญชีพยานจำเลยที่ 2 ลงนามแต่งตั้งให้ น. พนักงานอัยการจังหวัดศรีสะเกษเป็นทนายความไว้แล้ว แต่ครั้นเมื่อมีการยื่นคำให้การและบัญชีพยานดังกล่าว กลับกลายเป็น ร. อัยการผู้เชี่ยวชาญ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแพ่งเขต 3 สาขาศรีสะเกษ เป็นผู้ลงชื่อในคำให้การและบัญชีพยาน โดยจำเลยที่ 2 มิได้ลงนามแต่งตั้งให้ ร. เป็นทนายความของตน จึงมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 61 จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดศรีสะเกษเพิกถอนหนังสืออนุญาตให้จำเลยที่ 3 เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินแปลงเลขที่ 1 กลุ่ม 433 และแปลงเลขที่ 2 กลุ่ม 433 ตำบลห้วยสำราญ อำเภอขุขันธ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นที่ดินพิพาท ให้จำเลยที่ 2 ข้าราชการในสังกัดของจำเลยที่ 1 เพิกถอนการรังวัดที่ดินพิพาท ให้จำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินพิพาทเป็นชื่อของโจทก์โดยให้จำเลยที่ 3 รับเงินไปจากโจทก์จำนวน 11,500 บาท กับให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 พร้อมบริวารออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยที่ 1 ให้การว่า การออกหนังสืออนุญาตให้จำเลยที่ 3 เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินซึ่งเป็นที่ดินพิพาทดำเนินการโดยถูกต้อง ชอบด้วยระเบียบแบบแผนของทางราชการแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ทำการสำรวจและรังวัดที่ดินพิพาทถูกต้องตามระเบียบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยชอบ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณานางสุมล ผาสุข ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสี่ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า เมื่อศาลชั้นต้นส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 2 แล้ว จำเลยที่ 2 แต่งตั้งให้นายนรินทร์ เนตรสุนีย์ เป็นทนายความ แต่กลับปรากฏว่านายรัตนชัย ชมชัยนา เป็นผู้ยื่นคำให้การและบัญชีระบุพยานแทนจำเลยที่ 2 ในฐานะทนายความของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 มิได้แต่งตั้งให้นายรัตนชัยเป็นทนายความของจำเลยที่ 2 เพื่อดำเนินคดีแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 61 การดำเนินงานของนายรัตนชัย ตั้งแต่ยื่นคำให้การและบัญชีระบุพยานของจำเลยที่ 2 และการดำเนินกระบวนการพิจารณาต่อมาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2543 ที่สั่งรับคำให้การและบัญชีระบุพยานของจำเลยที่ 2 โดยให้จำเลยที่ 2 ยื่นใบแต่งทนายความให้ถูกต้องตามกฎหมายกับยื่นคำให้การภายใน 15 วันนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 รวมทั้งบัญชีระบุพยานให้ถูกต้องตามกฎหมายแล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในสำนวนได้ความว่า จำเลยที่ 2 เป็นข้าราชการในสังกัดจำเลยที่ 1 มีหน้าที่บันทึกการทำการรังวัดปักเขตที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินบ้านยางชุม หมู่ที่ 8 ตำบลห้วยสำราญ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ได้ลงนามแต่งตั้งให้นายนรินทร์ เนตรสุนีย์ พนักงานอัยการจังหวัดศรีสะเกษเป็นทนายความเพื่อดำเนินคดีแทน แต่ตามสารบัญอันดับที่ 33 มีนายรัตนชัย ชมนัยนา อัยการผู้เชี่ยวชาญสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแพ่งเขต 3 สาขาศรีสะเกษ เป็นผู้ลงชื่อเป็นผู้ยื่นคำให้การ เป็นผู้เรียงและพิมพ์และผู้ลงชื่อระบุพยานตามบัญชีพยานของจำเลยที่ 2 ฉบับลงวันที่ 15 มีนาคม 2543 ตามสารบัญอันดีบที่ 37 โดยจำเลยที่ 2 มิได้ลงนามแต่งตั้งให้นายรัตนชัยเป็นทนายความของจำเลยที่ 2 ต่อมาวันที่ 21 มิถุนายน 2543 จำเลยที่ 2 ลงนามแต่งตั้งให้นายจรินทร์ ตันชัชวาล รองอัยการจังหวัดศรีสะเกษ เป็นทนายความเพื่อดำเนินคดีแทนใบแต่งทนายความสารบัญอันดับที่ 39 และวันที่ 16 สิงหาคม 2544 จำเลยที่ 2 ลงนามแต่งตั้งให้นายสำเร็จ หงษ์พันธ์ พนักงานอัยการจังหวัดศรีสะเกษเป็นทนายความเพื่อดำเนินคดีแทนตามใบแต่งทนายความอันดับที่ 50 หลังจากนี้ต่อมานายสำเร็จเป็นผู้ดำเนินคดีแทนจำเลยที่ 2 จนกระทั่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตลอดทั้งการพิจารณาในชั้นอุทธรณ์ด้วย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า การที่นายรัตนชัยเป็นผู้ยื่นคำให้การและบัญชีพยานของจำเลยที่ 2 ฉบับลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2543 และฉบับลงวันที่ 15 มีนาคม 2543 ตามลำดับ โดยจำเลยที่ 2 มิได้ลงชื่อแต่งตั้งในใบแต่งตั้งทนายความให้นายรัตนชัยเป็นทนายความของตนนั้น เป็นการชอบด้วยกระบวนพิจารณาหรือไม่ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า นายรัตนชัยดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นตามพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ.2498 มาตรา 11 (2) (3) จึงมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยที่ 2 ได้ โดยไม่ต้องมีใบแต่งทนายความนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ.2498 มาตรา 11 (2) (3) บัญญัติว่า
“มาตรา 11 พนักงานอัยการมีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
(2) ในคดีแพ่ง มีอำนาจและหน่าที่ดำเนินคดีแทนรัฐบาลในศาลทั้งปวงกับมีอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมายอื่น ซึ่งบัญญัติว่าเป็นอำนาจและหน้าที่ของกรมอัยการหรือพนักงานอัยการ
(3) ในดีแพ่งหรืออาญาซึ่งเจ้าพนักงานถูกฟ้องในเรื่องการที่ได้ซึ่งได้สั่งการโดยชอบด้วยกฎหมายหรือเข้าร่วมกับเจ้าพนักงานกระทำไปตามหน้าที่ก็ดี หรือในคดีแพ่งหรืออาญาที่ราษฎรผู้หนึ่งผู้ใดถูกฟ้องในเรื่องการที่ได้กระทำตามคำสั่งของเจ้าพนักงานซึ่งได้สั่งการโดยชอบด้วยกฎหมายหรือเข้าร่วมกับเจ้าพนักงานกระทำการในที่ราชการก็ดี เมื่อเห็นสมควรพนักงานอัยการจะรับแก้ต่างก็ได้”
บทบัญญัติดังกล่าวนี้ หมายความว่า พนักงานอัยการมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินคดีแพ่งแทนรัฐบาล หรือในการดำเนินคดีแพ่งหรือคดีอาญาแทนเจ้าพนักงานผู้ซึ่งถูกฟ้องในเรื่องการที่ได้กระทำไปตามหน้าที่ ฯลฯ เมื่อพนักงานอัยการเห็นสมควรจะรับแก้ต่างให้ก็ได้ ซึ่งการแก้ต่างให้ตามบทบัญญัติของ 2 อนุมาตรานี้พนักงานอัยการมีฐานะอย่างเดียวกับทนายความ ตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ.2528 ที่จะมีอำนาจดำเนินคดีในศาลได้ก็ต่อเมื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 61 ซึ่งบัญญัติว่า “การแต่งตั้งทนายความนั้น ต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อตัวความและทนายความ แล้วยื่นต่อศาลเพื่อรวมไว้ในสำนวน ใบแต่งทนายนี้ให้ใช้ได้เฉพาะคดีเรื่องหนึ่ง ๆ ตามที่ได้ยื่นไว้เท่านั้น…” เมื่อข้อเท็จจริงในคดีปรากฏว่าก่อนจำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การฉบับลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2543 และบัญชีพยานลงวันที่ 15 มีนาคม 2543 จำเลยที่ 2 ลงนามแต่งตั้งให้นายนรินทร์ เนตรสุนีย์ พนักงานอัยการจังหวัดศรีสะเกษเป็นทนายความไว้แล้ว แต่ครั้นเมื่อมีการยื่นคำให้การและบัญชีพยานดังกล่าว กลับกลายเป็นนายรัตนชัย ชมนัยนา อัยการผู้เชี่ยวชาญสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแพ่งเขต 3 สาขาศรีสะเกษ เป็นผู้ลงชื่อในคำให้การและบัญชีพยาน โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ลงนามแต่งตั้งให้นายรัตนชัยเป็นทนายความของตนแต่ประการใดจึงมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 61 ซึ่งเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ส่วนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่าเคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เดิมพนักงานอัยการจังหวัดเป็นโจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกตามพินัยกรรมจากจำเลยซึ่งเป็นบุพการีของทายาทผู้รับพินัยกรรมโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 เมื่ออัยการจังหวัดไม่อยู่หรือย้ายไป พนักงานอัยการจังหวัดนั้นคนอื่น ๆ ก็มีอำนาจดำเนินคดีแทนได้นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวปรากฏว่าบรรดาทายาทมอบอำนาจให้พนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่เป็นโจทก์ฟ้องจำเลย ซึ่งเป็นการมอบอำนาจในฐานะตำแหน่งพนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่มิใช่กรณีเข้ามาเป็นผู้ดำเนินคดีแทนในฐานะทนายความดังเช่นคดีนี้ ข้อเท็จจริงในคำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 อ้างจึงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้เพิกถอนกระบวนการพิจารณาของศาลชั้นต้นตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2543 แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่นั้น ชอบแล้ว”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share