คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 516/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยดำรงชีพอยู่ด้วยรายได้ของหญิงในการค้าประเวณีสำนวนหนึ่งและในวันเดียวกันโจทก์ยังฟ้องจำเลยเกี่ยวกับการกระทำผิดอันเดียวกันเป็นอีกสำนวนหนึ่งว่าจำเลยเป็นผู้จัดการสถานการค้าประเวณีโดยมิได้ขอให้พิจารณาคดีรวมกันเห็นได้ว่าเป็นการฟ้องขอให้ลงโทษในกรรมเดียวซ้ำกัน 2 ครั้งข้อหาในอีกสำนวนหนึ่งนั้นย่อมหมายความว่าจำเลยมีรายได้จากสินจ้างซึ่งได้รับจากลูกค้าของสถานการค้าประเวณี แล้วจำเลยแบ่งรายได้นั้นให้แก่หญิงที่ค้าประเวณีแต่ข้อหาในสำนวนนี้ว่าจำเลยดำรงชีพอยู่จากรายได้ของหญิงที่ค้าประเวณีในสถานที่แห่งเดียวกัน เมื่อในคดีอีกสำนวนหนึ่งนั้นจำเลยรับสารภาพข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้อง และศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยแล้วจึงชอบที่ศาลจะยกฟ้องคดีสำนวนนี้เสีย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 24 พฤศจิกายน 2515 ถึงวันที่11 ธันวาคม 2515 ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน จำเลยไม่มีปัจจัยอย่างอื่นสำหรับดำรงชีพ ได้ดำรงชีพอยู่จากรายได้ของหญิงในการค้าประเวณี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 286 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 10 นับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1320/2515 ของศาลชั้นต้น

จำเลยให้การปฏิเสธ

ก่อนสืบพยาน คู่ความแถลงรับกันว่า ข้อหาที่จำเลยถูกฟ้องคดีนี้และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1320/2515 เป็นกรรมเดียวกัน พนักงานสอบสวนแยกสอบสวนเป็นสองสำนวน โจทก์จึงฟ้องเป็นสองสำนวน สำหรับคดีดำที่ 1320/2515 ที่โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาว่าเป็นเจ้าของและผู้จัดการสถานการค้าประเวณีนั้น ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว

ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลย วินิจฉัยว่า ข้อหาที่จำเลยถูกฟ้องคดีนี้และคดีดำที่ 1320/2515 เป็นกรรมเดียวกัน สำหรับคดีอาญาดำที่ 1320/2515 ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยแล้วเป็นคดีแดงที่ 1314/2515สิทธิของโจทก์ที่นำคดีมาฟ้องจึงระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นชอบที่จะรวมการพิจารณาคดีนี้กับคดีดำที่ 1320/2515 คดีแดงที่ 1314/2515 ของศาลชั้นต้น แล้วลงโทษด้วยบทหนัก เพราะการกระทำความผิด 2 คดีนี้เป็นกรรมเดียวกัน

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยถูกฟ้องเป็นคดีนี้สำนวนหนึ่ง และในวันเดียวกันนั้นพนักงานอัยการโจทก์ยังได้ยื่นฟ้องจำเลยเกี่ยวกับการกระทำความผิดในวันเวลาเดียวกันเป็นอีกสำนวนหนึ่ง คือ คดีหมายเลขดำที่ 1320/2515 ของศาลชั้นต้น ในข้อหาว่าเป็นผู้จัดการสถานการค้าประเวณี ซึ่งโจทก์เองเห็นว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวกันแต่มิได้ร้องขอให้พิจารณาคดีรวมกัน กลับขอให้นับโทษคดีทั้งสองต่อซึ่งกันและกัน คดีหมายเลขดำที่ 1320/2515 นั้น จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษปรับจำเลยเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 1314/2515 โจทก์อุทธรณ์ในคดีนั้นขอให้รวมการพิจารณาเข้ากับคดีนี้ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่จะรวมการพิจารณาหรือไม่นั้น เป็นดุลพินิจของศาล กรณีไม่มีเหตุที่จะสั่งรวมพิจารณา พิพากษายืน โจทก์ยังฎีกาคดีนั้นต่อมา

เห็นว่า ข้อหาของคดีทั้งสองสำนวนนี้เนื่องจากการกระทำอันเดียวกันในเวลาและสถานที่เดียวกัน ตามข้อหาในคดีหมายเลขดำที่ 1320/2515 หมายเลขแดงที่ 1314/2515 นั้นย่อมหมายความว่า จำเลยมีรายได้จากสินจ้างซึ่งจำเลยหรือพนักงานของจำเลยได้รับจากลูกค้าของสถานการค้าประเวณีที่จำเลยเป็นผู้จัดการ แล้วจำเลยจึงแบ่งเงินรายได้นั้นให้แก่หญิงซึ่งทำการค้าประเวณีในการค้าประเวณีนั้น หญิงซึ่งค้าประเวณีจึงเป็นฝ่ายมีรายได้จากการจัดการของจำเลยจากลักษณะของการกระทำของจำเลยดังกล่าวนี้ โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ด้วยว่าจำเลยดำรงชีพจากรายได้ของหญิงซึ่งค้าประเวณีในสถานที่แห่งเดียวกันนี้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นการฟ้องขอให้ลงโทษในกรรมเดียวซ้ำกันเป็นครั้งที่สอง ฉะนั้น เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของโจทก์เองประกอบกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 1320/2515 และได้พิพากษาลงโทษจำเลยแล้วก็ชอบที่จะพิพากษายกฟ้องคดีนี้ซึ่งเป็นกรรมเดียวกับที่ศาลพิพากษาลงโทษไปแล้ว ปัญหาที่ว่า ศาลชั้นต้นชอบที่จะรวมการพิจารณาคดีทั้งสองสำนวนนี้หรือไม่ ยอมตกไปในตัว

พิพากษายืน

Share