แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกในฐานะผู้จัดการมรดกของ ช. ตามคำสั่งศาลซึ่งเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้จัดการมรดก เมื่อโจทก์ถึงแก่ความตาย สิทธิและหน้าที่ของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกย่อมสิ้นสุดลง หาได้ตกทอดไปยังทายาทของโจทก์ไม่ ส. ซึ่งเป็นเพียงทายาทของโจทก์เท่านั้นไม่ได้เป็นผู้ปกครองที่ดินพิพาทหรือมีอำนาจในการจัดการทรัพย์มรดกจึงไม่อาจเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ได้
ปัญหาว่าบุคคลที่จะเข้าแทนที่คู่ความผู้มรณะเป็นบุคคลตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 บัญญัติหรือไม่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของนายช่วง จันทร์ศรี ตามคำสั่งศาล โจทก์กับจำเลยมีสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เนื้อที่ 5 ไร่ 3 งาน 69 ตารางวา คนละครึ่ง โจทก์มีความประสงค์ต้องการแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวเป็นส่วนสัด และบอกกล่าวให้จำเลยทราบแล้วจำเลยเพิกเฉย จึงขอให้บังคับจำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวจำนวน 2 ไร่ 3 งาน 84.5ตารางวา ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และหากแบ่งแยกตกลงกันไม่ได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำที่ดินดังกล่าวออกขายโดยประมูลราคาระหว่างโจทก์กับจำเลยหรือขายทอดตลาดแล้วนำเงินที่ขายได้มาแบ่งกันคนละครึ่ง
จำเลยให้การว่า เดิมที่ดินดังกล่าวมีหลักฐานเป็นแบบแจ้งการครอบครองซึ่งมีชื่อนางหมา ชาวเขาดิน เป็นผู้มีสิทธิครอบครองโจทก์เป็นบุตรของนายช่วง จันทร์ศรี กับนางมูลไม่ทราบชื่อสกุล ส่วนจำเลยเป็นบุตรของนางหมากับนายไทย ต่อมานายช่วงกับนางหมาได้อยู่กินฉันสามีภริยา มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือนางบุญสม มีจั่นทอง กับนางสาวสร้อย จันทร์ศรี เมื่อที่ดินพิพาทได้มีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์นางหมาจึงใส่ชื่อนายช่วงเป็นผู้ถือสิทธิครอบครองร่วมกับนางหมา เมื่อนายช่วงตายนางหมา จำเลยและนางสาวสร้อยร่วมกันครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยโจทก์ไม่ได้เข้าเกี่ยวข้อง จากนั้นนางหมาและนางสาวสร้อยก็ตายไป โดยนับตั้งแต่นายช่วงตายโจทก์ไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว และไม่เคยฟ้องเรียกเอาทรัพย์มรดกส่วนของนายช่วงจากจำเลยและนางสาวสร้อย คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ 1 ปี ทรัพย์มรดกของนายช่วงจึงตกได้แก่นางหมา จำเลย และนางสาวสร้อย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) ทะเบียนเล่ม 26 หน้า 159 สารบบเลขที่ 295 ตำบลวังยาง อำเภอศรีประจันต์จังหวัดสุพรรณบุรี ให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง ส่วนวิธีการแบ่งให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 โจทก์ถึงแก่ความตาย นางสาวสาลีจันทร์ศรี ทายาทของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 7 อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายช่วงจันทร์ศรี ตามคำสั่งศาล ซึ่งเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้จัดการมรดก เมื่อโจทก์ถึงแก่ความตาย สิทธิและหน้าที่ของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกย่อมสิ้นสุดลง หาได้ตกทอดไปยังทายาทของโจทก์ไม่ นางสาวสาลี จันทร์ศรี เป็นเพียงทายาทของโจทก์เท่านั้นไม่ปรากฏว่านางสาวสาลีเป็นผู้ปกครองที่พิพาทหรือมีอำนาจในการจัดการทรัพย์มรดกของนายช่วงแต่อย่างใด นางสาวสาลีย่อมไม่อาจเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ได้ ปัญหาว่า บุคคลที่จะเข้าแทนที่คู่ความผู้มรณะเป็นบุคคลตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 หรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 อนุญาตให้นางสาวสาลีเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์จึงเป็นการไม่ชอบเมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วปัญหาตามฎีกาโจทก์จึงไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ยกคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 7 ที่อนุญาตให้นางสาวสาลี จันทร์ศรี เข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ ยกฎีกาโจทก์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 ก่อน แล้วส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำสั่งและคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี