แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การกำหนดประเด็นข้อพิพาทเป็นการกำหนดเพื่อให้ได้ความชัดในประเด็นพิพาทของคู่ความส่วนการกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดนำพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นใดก่อนหรือหลังย่อมเป็นไปเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการดำเนินกระบวนพิจารณาแต่การวินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้นต้องวินิจฉัยจากถ้อยคำพยานที่คู่ความนำสืบมาประกอบกันโดยพิจารณาตามภาระหน้าที่ในการพิสูจน์ของแต่ละฝ่ายหาใช้ว่าฝ่ายใดมีหน้าที่นำพยานเข้าสืบก่อนแล้วจะต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานของฝ่ายนั้นแต่เพียงฝ่ายเดียวไม่ โจทก์ฟ้องว่าบ้านและที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ที่1กึ่งหนึ่งอีกกึ่งหนึ่งเป็นมรดกของสามีโจทก์ที่1ตกได้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยในฐานะทายาทคนละส่วนเท่าๆกันจำเลยต่อสู้ว่าบ้านและที่ดินพิพาทจำเลยครอบครองเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวตามข้อตกลงในการแบ่งทรัพย์สินและจำเลยครอบครองมาด้วยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากกว่า10ปีแล้วจึงได้สิทธิครอบครองโจทก์มิได้ดำเนินคดีภายในกำหนด1ปีฟ้องโจทก์ขาดอายุความจึงเป็นเรื่องที่จำเลยกล่าวอ้างว่าบ้านและที่ดินพิพาทได้มีการแบ่งปันตกเป็นของจำเลยโดยชอบจนกระทั่งจำเลยได้มาซึ่งสิทธิครอบครองตามน.ส.3ก.แม้จำเลยเป็นผู้มีชื่อในน.ส.3กและได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1373ว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองแต่จำเลยยังต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าจำเลยได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์สินตามข้อตกลงของทายาทโดยชอบและได้ครอบครองเพื่อตนและโดยสุจริตอันเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นมาใหม่อีกด้วยดังนั้นที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า”โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยได้ตกลงแบ่งทรัพย์พิพาทตามฟ้องหรือไม่และฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่”แล้วให้จำเลยเป็นฝ่ายมีหน้าที่นำสืบก่อนทั้งสองประเด็นโดยที่ประเด็นข้อหลังภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณาความแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องว่า โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 และจำเลยต่างเป็นบุตรของโจทก์ที่ 1 กับนายจันทร์ เพียผิวเดิมโจทก์ที่ 1กับนายจันทร์เป็นเจ้าของทรัพย์พิพาทคือ ที่ดินสำหรับอยู่อาศัย1 แปลง และบ้านเลขที่ 89 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว กับที่ดินสำหรับทำนาอีก 1 แปลง เมื่อนายจันทร์เสียชีวิต ทรัพย์พิพาทดังกล่าวในส่วนของนายจันทร์จึงขอเป็นทรัพย์มรดกตกแก่ทายาทเมื่อ พ.ศ. 2520 โจทก์ที่ 1 ให้จำเลยแจ้งการครอบครองที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลงและได้ออกเอกสารสิทธิเป็น น.ส.3 ก. เลขที่ 4796 และน.ส.3 ก. เลขที่ 468 เป็นชื่อของจำเลยแทนทายาททุกคน ต่อมาพ.ศ. 2535 โจทก์ที่ 1 ขอให้จำเลยแบ่งปันทรัพย์พิพาทให้แก่ทายาทแต่จำเลยปฏิเสธ ขอให้ศาลพิพากษาให้แบ่งทรัพย์พิพาทคือที่ดินน.ส.3 ก. เลขที่ 4796 ตำบลโคกสี อำเภอเมืองขอนแก่นจังหวัดขอนแก่น และบ้านเลขที่ 89 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวและที่นาตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 4468 ตำบลโคกสี อำเภอเมืองขอนแก่นจังหวัดขอนแก่น แก่โจทก์ที่ 1 กึ่งหนึ่ง ส่วนทรัพย์พิพาทอีกกึ่งหนึ่งซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนายจันทร์ให้แบ่งแก่โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยคนละส่วนเท่า ๆ กัน หากไม่สามารถแบ่งได้ขอให้นำทรัพย์พิพาทออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งตามส่วนดังกล่าว และขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอเมืองขอนแก่น จดทะเบียนในทรัพย์พิพาทตามส่วนดังกล่าว
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยได้ตกลงแบ่งทรัพย์พิพาทโดยตกลงให้ทรัพย์พิพาทแก่จำเลยและตกลงให้จำเลยเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูโจทก์ที่ 1 กับให้โจทก์ที่ 6 อาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 89 และโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 ตกลงรับแบ่งโคไปคนละ 1 ตัว ต่อมาพ.ศ. 2520จำเลยจึงได้ขอออกเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลง เป็นน.ส.3 ก. และจำเลยได้ครอบครองทรัพย์พิพาทมาโดยตลอดกว่า10 ปีแล้ว จำเลยจึงได้สิทธิครอบครองในทรัพย์พิพาท โจทก์ทั้งเจ็ดไม่ได้ดำเนินคดีภายใน 1 ปี ฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ดจึงขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งทรัพย์พิพาททั้งหมดคือที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 4796 ตำบลโคกลีอำเภอเมืองขอนแก่นจังหวัดขอนแก่น พร้อมบ้านเลขที่ 89 และที่ดินตาม น.ส.3 ก.เลขที่ 468 ตำบลโคกลี อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่นให้แก่โจทก์ที่ 1 จำนวนเก้าในสิบหกส่วน ให้แก่โจทก์ที่ 2 ถึงโจทก์ที่ 7 คนละหนึ่งในสิบหกส่วน หากไม่สามารถแบ่งได้ให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งปันกันคำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยได้ตกลงแบ่งทรัพย์ที่พิพาทตามฟ้องแล้วหรือไม่ และฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โดยประเด็นแรกให้ภาระการพิสูจน์ตกแก่จำเลย ส่วนประเด็นที่สองให้ภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์แล้วให้จำเลยนำสืบก่อนและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าการกำหนดประเด็นข้อพิพาทเป็นการกำหนดเพื่อให้ได้ความชัดในประเด็นข้อพิพาทของคู่ความ แต่การกำหนดให้ฝ่ายใดนำพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นข้อใดก่อนหรือหลังย่อมเป็นไปเพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการดำเนินกระบวนพิจารณาส่วนการวินิจฉัยข้อเท็จจริงต้องวินิจฉัยจากถ้อยคำพยานที่โจทก์จำเลยนำสืบมาประกอบกันโดยพิจารณาตามภาระหน้าที่ในการพิสูจน์ของแต่ละฝ่ายหาใช่ฝ่ายใดมีหน้าที่นำพยานเข้าสืบก่อนแล้วจะต้องวินิจฉัยจากพยานหลักฐานของฝ่ายนั้นแต่เพียงฝ่ายเดียวไม่ สำหรับคดีนี้โจทก์กล่าวอ้างว่า บ้านและที่ดินพิพาทตามฟ้องเป็นของโจทก์ที่ 1 กึ่งหนึ่ง ส่วนอีกกึ่งหนึ่งเป็นมรดกของนายจันทร์เพียผิวสามีโจทก์ที่ 1 ซึ่งตกได้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยในฐานะทายาทส่วนละเท่า ๆ กัน จำเลยให้การต่อสู้ว่าบ้านและที่ดินพิพาทจำเลยเป็นเจ้าของครอบครองแต่ผู้เดียวตามข้อตกลงของทายาทในการแบ่งทรัพย์สินของบิดามารดาให้แก่บุตร และจำเลยครอบครองโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากกว่า 10 ปีแล้วจึงได้สิทธิครอบครอง โจทก์มิได้ดำเนินคดีภายในกำหนด 1 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ดังนี้ จึงเป็นเรื่องที่จำเลยกล่าวอ้างว่าบ้านและที่ดินพิพาทตามฟ้องได้มีการแบ่งปันตกมาเป็นของจำเลยโดยชอบจนกระทั่งจำเลยได้มาซึ่งสิทธิครอบครองตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ตามเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 แล้วแม้จะปรากฎว่าจำเลยเป็นผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ดังกล่าวและได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองก็ตามแต่จำเลยยังต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าจำเลยได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์สินที่บิดามารดายกให้ตามข้อตกลงของทายาทโดยชอบและได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการได้มาซึ่งสิทธิครอบครองดังกล่าวได้ครอบครองเพื่อตนและโดยสุจริต อันเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นมาใหม่อีกด้วย ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า “โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยได้ตกลงแบ่งทรัพย์พิพาทตามฟ้องแล้วหรือไม่” และ “ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่” แล้วให้จำเลยเป็นฝ่ายมีหน้าที่นำสืบก่อนทั้งสองประเด็นโดยที่ประเด็นข้อหลังภาระการพิสูจน์ตกโจทก์และวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยประกอบกันนั้นชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณาความแล้ว
พิพากษายืน