แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เหตุที่จำเลยย้ายโจทก์ไปทำงานที่บริษัทอื่นก็เนื่องมา จากจำเลยไม่พอใจผลงานของโจทก์ แม้บริษัทนั้นจะอยู่ในเครือเดียวกันกับจำเลยแต่ก็เป็นนิติบุคคลต่างหากจากกันในการเข้าทำงานโจทก์ก็ต้องทำสัญญาเป็นการตกลงจ้างกันใหม่ การย้ายดังกล่าวจึงเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ไม่ประสงค์จะจ้างโจทก์ต่อไปหรือให้โจทก์ออกจากงาน ถึงหากโจทก์จะสมัครใจทำงานใหม่ก็เป็นการสมัครใจหลังจากที่จำเลยไม่ประสงค์จะจ้างโจทก์ต่อไปแล้วและหาได้มีข้อความใดเป็นการตกลงให้นับระยะเวลาทำงานกับจำเลยต่อเนื่องกับระยะเวลาทำงานกับบริษัทใหม่ไม่ จึงมิใช่เป็นการสมัครใจย้ายที่ทำงานของโจทก์ หากเป็นผลจากการเลิกจ้างของจำเลย โจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้รับค่าชดเชยจากจำเลย
เมื่อจำเลยจ่ายค่าพาหนะและค่าคอมมิชชั่นให้โจทก์เป็นประจำทุกเดือน มิใช่เป็นครั้งคราว หรือโดยมีเงื่อนไขว่าถ้าหากโจทก์มิได้ไปติดต่อลูกค้านอกสถานที่ทำงานจะไม่ได้รับค่าพาหนะและค่าคอมมิชชั่น และจำเลยได้จ่ายเช่นนี้มาตั้งแต่โจทก์เข้าทำงานจนเลิกจ้างจึงถือได้ว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์เป็นการตอบแทนการทำงาน อันเป็นค่าจ้างเพียงแต่เรียกชื่อเป็นอย่างอื่นเท่านั้น จึงต้องนำเงินนี้มารวมกับเงินเดือนเป็นฐานคำนวณค่าชดเชยด้วย
ข้อบังคับของจำเลยมีความว่า พนักงานที่ทำงานติดต่อกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี มีสิทธิพักผ่อนประจำปี โดยได้รับค่าจ้างเต็ม วันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ยังไม่ ได้ใช้จะเก็บสะสมไว้ในปีต่อไปไม่ได้ ดังนี้พนักงานที่ทำงานมาเป็นเวลา 1 ปี กับ 1 วัน ก็ย่อมมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ ไม่จำต้องทำงานต่อไปจนครบอีก 1 ปี และการที่พนักงานมิได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีนั้นก็เป็นแต่เพียงจะนำไปเก็บสะสม ไว้ใช้ในปีต่อไปไม่ได้เท่านั้นเอง หาเสียสิทธิที่จะได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีอีกไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2522 จำเลยได้จ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำ ต่อมาวันที่ 1 ตุลาคม 2523 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ ขณะเลิกจ้างโจทก์ได้รับเงินเดือน 7,000 บาท ค่าพาหนะเดือนละ 2,000 บาท ค่าคอมมิชชั่นเดือนละ 4,500 บาท โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยแต่จำเลยมิได้จ่ายให้ นอกจากนี้โจทก์ยังมีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีอีกรวม 22 วัน เป็นเงิน 9,900 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 40,500 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 9,900 บาท
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2523 โจทก์ตกลงออกจากจำเลยโดยจำเลยโอนโจทก์ให้ไปทำงานกับบริษัท ท. เพราะโจทก์ไม่มีฝีมือและความสามารถเพียงพอ โจทก์กับบริษัท ท. ตกลงทำสัญญาจ้างกันตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2523 แล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย ถึงหากจะมีก็คำนวณจากเงินเดือน 7,000บาทเท่านั้น จะนำเอาค่าพาหนะและค่าคอมมิชชั่นมาคำนวณไม่ได้ และโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การที่จำเลยย้ายโจทก์ไปทำงานที่บริษัท ท. เป็นการเลิกจ้างโจทก์ โจทก์ทำงานมาเกิน 1 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน ค่าพาหนะและค่าคอมมิชชั่นซึ่งโจทก์ได้รับเป็นประจำทุกเดือนนับว่าเป็นค่าจ้าง ระหว่างโจทก์ทำงานกับจำเลยโจทก์มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีปีละ 2 สัปดาห์ รวมทั้งสิ้น โจทก์มีสิทธิหยุดพักผ่อน 22 วัน โจทก์มิได้หยุดจึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนดังกล่าว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 40,500บาท และค่าทำงานในวันหยุด 9,900 บาท แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า เหตุที่จำเลยย้ายโจทก์ไปทำงานอยู่ที่บริษัท ท. เนื่องจากจำเลยไม่พอใจผลงานของโจทก์ถึงแม้บริษัท ท. จะเป็นบริษัทในเครือเดียวกันกับจำเลย แต่ก็เป็นนิติบุคคลต่างหากจากกัน ในการเข้าทำงานโจทก์ต้องทำสัญญากับบริษัท ท. อีกต่างหาก เป็นการตกลงจ้างกันใหม่ การย้ายดังกล่าวมีลักษณะเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ไม่ประสงค์จะจ้างโจทก์ต่อไปหรือให้โจทก์ออกจากงานนั่นเอง ถึงหากโจทก์จะสมัครใจเข้าทำงานกับบริษัท ท. ก็เป็นการสมัครใจหลังจากที่จำเลยไม่ประสงค์จะจ้างโจทก์ต่อไปแล้ว และเมื่อโจทก์ทำสัญญาทำงานกับบริษัท ท. ก็มิได้มีข้อความอันเป็นการตกลงให้นับระยะเวลาทำงานอยู่กับจำเลยต่อเนื่องกับระยะเวลาทำงานกับบริษัท ท. อันเป็นผลให้โจทก์มีสิทธิถือเอาระยะเวลาทำงานทั้งสองแห่งมาเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยในกรณีที่บริษัท ท. เลิกจ้างโจทก์ในภายหลัง การที่จำเลยย้ายโจทก์ไปทำงานกับบริษัท ท. ดังกล่าวจึงมิใช่เป็นการสมัครใจย้ายที่ทำงานของโจทก์ หากเป็นผลจากการเลิกจ้างของจำเลยโจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้รับค่าชดเชยจากจำเลย
หนังสือแจ้งรับโจทก์เข้าทำงานมีความว่า ขอให้โจทก์มาเริ่มงานได้ด้วยอัตราเงินเดือน 11,000 บาท (โดยแยกออกเป็นเงินเดือน 4,500 บาท ค่าพาหนะ 2,000 บาท ค่าคอมมิชชั่น 4,500 บาท) ต่อมาจำเลยได้แจ้งรับโจทก์เป็นพนักงานประจำและปรับเงินเดือนเป็น 13,500 บาท โดยแยกรายได้ดังนี้คือ เงินเดือน 7,000 บาท ค่าพาหนะ 2,000 บาท ค่าคอมมิชชั่นประจำ4,500 บาท เป็นที่เห็นได้ว่าลักษณะการจ่ายค่าพาหนะและค่าคอมมิชชั่นประจำของจำเลยให้แก่โจทก์เป็นการจ่ายประจำทุกเดือน มิใช่เป็นครั้งคราวหรือโดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าหากโจทก์มิได้ไปติดต่อลูกค้านอกสถานที่ทำงานจะไม่ได้รับค่าพาหนะและค่าคอมมิชชั่นประจำ และจำเลยได้จ่ายเช่นนี้มาตั้งแต่โจทก์เข้าทำงานจนเลิกจ้างโจทก์ จึงถือได้ว่าเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์เป็นการชอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน อันเป็นค่าจ้างตามความหมายของประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 2 เพียงแต่เรียกชื่อเป็นอย่างอื่นเท่านั้น จึงต้องนำค่าพาหนะและค่าคอมมิชชั่นดังกล่าวมารวมกับเงินเดือนเป็นฐานคำนวณค่าชดเชยด้วย
ตามข้อบังคับของจำเลยมีความว่า พนักงานที่ทำงานติดต่อกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปีปฏิทินมีสิทธิพักผ่อนประจำปีได้เป็นเวลา 2 สัปดาห์(รวมทั้งวันหยุด) โดยได้รับค่าจ้างเต็ม พนักงานใหม่จะมีสิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปีครั้งแรกก็ต่อเมื่อหลังจากได้ทำงานมาครบ 1 ปี วันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ยังไม่ได้ใช้จะเก็บสะสมไว้ในปีต่อไปไม่ได้ ซึ่งเป็นการกำหนดเพียงว่าหลังจากพนักงานของจำเลยทำงานมาแล้วครบ 1 ปี ก็มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ส่วนจะทำงานเกิน 1 ปีเป็นระยะเวลาเท่าใดมิได้กำหนด ดังนี้ แม้แต่พนักงานผู้ซึ่งทำงานมาเป็นเวลา 1 ปี กับ 1 วัน ก็ย่อมมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ โจทก์ทำงานกับจำเลยครบ 1 ปี ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2523 หลังจากวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2523 โจทก์มีสิทธิหยุดพักผ่อนได้หาจำเป็นต้องทำงานตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2523 ไปจนครบอีก 1 ปีไม่ และปรากฏว่า ตั้งแต่โจทก์เข้าทำงานกับจำเลยมิได้หยุดพักผ่อนประจำปีเลย โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 45 และถึงแม้โจทก์มิได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีก็เป็นเพียงแต่จะนำไปเก็บสะสมไว้ใช้ในปีต่อไปไม่ได้เท่านั้นเอง หาเสียสิทธิที่จะได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีไม่ ตามข้อบังคับของจำเลยดังกล่าวถือได้ว่า นับตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2523 เป็นต้นมา โจทก์มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ 2 สัปดาห์ มิใช่ 22 วัน ดังที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัย โจทก์ได้รับค่าจ้างเดือนละ 13,500 บาท ตกวันละ 450 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อน 2 สัปดาห์จึงเป็นเงิน 6,300 บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวน 6,300 บาทแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง