คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 512/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยซื้อเชื่อสินค้าของโจทก์ตามใบสั่งของรวม 7 คราว แล้วจึงได้ผ่อนชำระหนี้ให้เป็นครั้งแรก ต่อมาเมื่อซื้อเชื่อครั้งที่ 8 อันเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจึงผ่อนชำระให้อีก 2 ครั้ง เงินที่ชำระแต่ละครั้งมีจำนวนไม่เท่ากับราคาของสินค้าที่ปรากฏในใบสั่งของแม้แต่ฉบับเดียว และโจทก์ไม่เคยกำหนดจำนวนเงินที่ชำระมาแล้วให้พอประมาณกับราคาสินค้าในใบส่งของแล้วเลือกคืนใบส่งของแก่จำเลยไปด้วย ตามพฤติการณ์ดังกล่าวรับฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยได้ตกลงกันให้รวมยอดหนี้สินตามใบสั่งของทั้งหมดเป็นหนี้ก้อนเดียวกันแล้ว การที่จำเลยชำระหนี้ค่าสินค้าให้แก่โจทก์รวม 3 ครั้งนั้น เป็นการรับสภาพหนี้โดยใช้เงินให้บางส่วนในหนี้สินรายพิพาทที่ตกลงรวมกันเป็นหนี้ก้อนเดียวแล้ว มีผลให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 อันจะต้องเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่นับแต่เวลานั้น (วันที่ชำระครั้งสุดท้าย) สืบไปตามมาตรา 181 คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความและกรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 328 วรรคสอง
ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงซึ่งเป็นสารสำคัญในประเด็นที่จะชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายซึ่งคู่ความฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยไปเสียเลยทีเดียวโดยไม่ย้อนสำนวนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240(3) ประกอบด้วยมาตรา 247

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้ออุปกรณ์เครื่องจักรแทรคเตอร์ไปจากโจทก์หลายครั้งต่อมาจำเลยชำระเงินให้โจทก์ 3 ครั้ง ยังค้างชำระอยู่อีก 39,189 บาท 60 สตางค์ซึ่งจำเลยไม่ชำระ จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยให้การว่า ไม่เคยสั่งซื้อสินค้าตามฟ้อง และไม่เคยชำระหนี้ค่าสินค้าให้โจทก์ คดีโจทก์ขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องพร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาข้อแรกว่า พยานหลักฐานโจทก์ยังรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย และนายสมศักดิ์ กรรมการบริษัทโจทก์ได้ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดี เห็นว่าฎีกาของจำเลยข้อนี้เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เพราะเป็นการโต้เถียงเกี่ยวกับการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาลว่า ควรเชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่เพียงใด จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยข้อนี้มาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาจะวินิจฉัยให้ไม่ได้

จำเลยฎีกาข้อที่ 2 ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น ตามคำฟ้องของโจทก์ประกอบกับเอกสารท้ายฟ้องซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งแห่งคำฟ้อง เห็นได้ว่าโจทก์ได้บรรยายไว้ชัดแจ้งพอเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วว่า จำเลยซื้อสินค้าจากโจทก์ชนิดใด เมื่อใด และจำนวนเงินเท่าใด จำเลยชำระค่าสินค้าแล้วเท่าใด ยังคงเป็นหนี้อยู่เท่าใด คำฟ้องของโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว หาเคลือบคลุมดังข้อฎีกาของจำเลยไม่

จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า หนี้สินที่โจทก์ฟ้องเป็นหนี้หลายคราวต่างกันถึง8 คราว จำเลยชำระหนี้ให้ 3 ครั้ง รวมเป็นเงิน 9,061 บาท 40 สตางค์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 328 วรรค 2 ว่า หนี้สินรายใดถึงกำหนด ก็ให้รายนั้นเปลื้องไปก่อน เป็นอันว่าหนี้สินตามใบส่งของเลขที่ 1640,1838 และ 1839 เป็นอันปลดเปลื้องไป ส่วนหนี้สินตามใบส่งของเลขที่ 1851ลงวันที่ 24 เมษายน 2515 จำนวนเงิน 3,100 บาท นั้น มิได้มีการชำระเงินเลยถึงวันฟ้องเกินสองปีแล้ว ย่อมขาดอายุความ ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยซื้อเชื่อสินค้าของโจทก์แล้วรวม 7 คราว จึงได้มีการผ่อนชำระหนี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2516 เป็นเงิน 2,741 บาท 40 สตางค์ ต่อมาเมื่อจำเลยซื้อเชื่อสินค้าจากโจทก์ครั้งที่ 8 อันเป็นครั้งสุดท้ายจำนวนเงิน 1,100 บาท จำเลยจึงได้ผ่อนชำระค่าสินค้าแก่โจทก์อีก 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2516 และวันที่ 7มีนาคม 2517 เป็นเงิน 1,320 บาท และ 5,000 บาทตามลำดับ เห็นได้ว่าที่จำเลยผ่อนชำระค่าสินค้าแก่โจทก์รวม 3 ครั้งนั้น เงินที่ชำระแต่ละครั้งมีจำนวนไม่เท่ากับราคาของสินค้าที่ปรากฏในใบส่งของแม้แต่ฉบับเดียว และโจทก์ไม่เคยกำหนดจำนวนเงินที่ชำระมาแล้วให้พอประมาณกับราคาสินค้าในใบส่งของแล้วเลือกคืนใบส่งของแก่จำเลยไปด้วย ตามพฤติการณ์ดังกล่าวรับฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยได้ตกลงกันให้รวมยอดหนี้สินตามใบส่งของทั้งหมดเป็นหนี้ก้อนเดียวกันแล้ว ข้อเท็จจริงดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัย แต่เป็นสารสำคัญในประเด็นที่จะชี้ขาดได้ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ศาลฎีกาจึงได้วินิจฉัยไปเสียเลยทีเดียวโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในข้อนี้อีกประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240(3) ประกอบด้วยมาตรา 247ศาลฎีกาจึงเห็นว่าการที่จำเลยชำระหนี้ค่าสินค้าให้แก่โจทก์ไปรวม 3 คราวโดยครั้งสุดท้ายชำระให้เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2517 เป็นการรับสภาพหนี้โดยใช้เงินให้บางส่วนในหนี้สินรายพิพาทที่ตกลงรวมกันเป็นหนี้ก้อนเดียวแล้วมีผลให้อายุความสะดุดหยุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172อันจะต้องเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่นับแต่เวลานั้นสืบไปตามมาตรา 181 ฉะนั้นเมื่อนับจนถึงวันฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2517 คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ และเห็นว่ากรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 328 วรรค 2 ดังข้อฎีกาของจำเลย ฎีกาจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share