คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5112/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทได้ให้จำเลยอยู่อาศัย ที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยเช่าก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์อาจยินยอมให้จำเลยอยู่อาศัยโดยไม่มีค่าตอบแทนหรือจำเลยอาจต้องเสียค่าตอบแทนอันมีลักษณะเป็นการเช่าซึ่งก็มีความหมายอยู่ในตัวว่าจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ และจำเลยก็ให้การยืนยันว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ไม่เคยอาศัยสิทธิอยู่อาศัยของโจทก์ โจทก์ไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท ดังนี้เมื่อโจทก์ไม่ได้อ้างถึงการเช่าเป็นมูลฟ้อง กรณีจึงไม่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ให้จำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 385 เนื้อที่ 27 ไร่ 3 งาน 54 ตารางวา ซึ่งโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ต่อมาโจทก์มีความประสงค์จะใช้ที่ดิน จึงบอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกไป แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 385 และห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงดังกล่าว
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยอาศัยที่ดินของโจทก์อยู่ตามฟ้องจำเลยมีที่ดิน 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ อยู่ที่ตำบลเขาทรายอำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร ซึ่งได้มาโดยเข้าบุกร้างถางป่า ปกครองทำประโยชน์มาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันตลอดมาประมาณ 35 ปีแล้ว ที่ดินแปลงดังกล่าวจึงตกเป็นสิทธิของจำเลยโดยการครอบครอง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 385
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยข้อแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยอาศัย การที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์จึงไม่ถูกต้องตามประเด็น และโจทก์น่าจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ก่อนแต่ในคำฟ้องมิได้บรรยายว่า โจทก์ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เห็นว่า ฟ้องโจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทได้ให้จำเลยอยู่อาศัย ที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยเช่าก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์อาจยินยอมให้จำเลยอยู่อาศัยโดยไม่มีค่าตอบแทนหรือจำเลยอาจต้องเสียค่าตอบแทนอันมีลักษณะเป็นการเช่า ซึ่งก็มีความหมายอยู่ในตัวว่าจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ และจำเลยก็ให้การยืนยันว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ได้มาโดยการบุกร้างถางป่าครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาเป็นเวลาประมาณ 35 ปีแล้วไม่เคยอาศัยสิทธิอยู่อาศัยของโจทก์ โจทก์ไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท โจทก์ไม่ได้อ้างถึงการเช่าเป็นมูลฟ้อง จึงไม่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน

Share