แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน2ปีและให้รอการลงโทษจำคุกไว้ศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาแก้เป็นว่าไม่รอการลงโทษจำคุกเป็นการแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลยจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา219 ไม่มีกฎหมายบังคับให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งก่อนแล้วจึงพิจารณาพิพากษาคดีอาญาการที่ศาลมีคำพิพากษาคดีอาญาก่อนโดยไม่ฟังผลในคดีแพ่งจึงเป็นการชอบ
ย่อยาว
โจทก์ ฟ้อง ขอให้ ลงโทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ระหว่าง พิจารณา นาง ดลฤดี พงษ์จิระศักดิ์ และนางวิกานดา วงศ์ชัยประเสริฐ ผู้เสียหาย ทั้ง สอง ยื่น คำร้องขอ เข้าร่วม เป็น โจทก์ ศาลชั้นต้น อนุญาต โดย ให้ เรียกว่า โจทก์ร่วม ที่ 1 และ ที่ 2ตามลำดับ
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362 ประกอบ ด้วย มาตรา 365(3) ลงโทษ จำคุก 1 ปี ปรับ 4,000 บาทพิเคราะห์ ถึง ความ ร้ายแรง แห่ง การกระทำ ความผิด แล้ว โทษ จำคุกให้ รอการลงโทษ ไว้ มี กำหนด 2 ปี ไม่ชำระ ค่าปรับ จัดการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้ คุมประพฤติ จำเลย มี กำหนด 1 ปีโดย ให้ จำเลย ไป รายงาน ตัว ต่อ พนักงานคุมประพฤติ ทุก 3 เดือน เพื่อพนักงานคุมประพฤติ จะ ได้ สอบถาม แนะนำ ช่วยเหลือ หรือ ตักเตือน ตามที่ เห็นสมควร ใน เรื่อง ความประพฤติ และ ประกอบ อาชีพ
โจทก์ อุทธรณ์ ขอให้ ลงโทษ หนัก ขึ้น และ ไม่รอการลงโทษ จำเลย อุทธรณ์ขอให้ ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษาแก้ เป็น ว่า ไม่รอการลงโทษ จำคุกแก่ จำเลย ไม่ ปรับ และ ไม่ คุมประพฤติ จำเลย นอกจาก ที่ แก้ คง ให้เป็น ไป ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “เห็นสมควร วินิจฉัย ข้อ ที่ โจทก์ และ โจทก์ร่วมทั้ง สอง กล่าวอ้าง เป็น ประเด็น ใน คำ แก้ ฎีกา เป็น ประการ แรก เสีย ก่อนโดย อ้างว่า ฎีกา ของ จำเลย ต้องห้าม ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 เพราะ คดี นี้ ศาลชั้นต้น พิพากษา ลงโทษ จำคุก จำเลย ไม่เกิน2 ปี และ ให้ รอการลงโทษ จำคุก จำเลย ไว้ ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษาแก้เป็น ว่า ไม่รอการลงโทษ จำคุก ให้ จำเลย แต่ ยัง คง ลงโทษ จำคุก จำเลยไม่เกิน 2 ปี จึง ต้องห้าม ฎีกา ตาม บทบัญญัติ กฎหมาย ดังกล่าว นั้นเห็นว่า การ ที่ ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษาแก้ คำพิพากษา ของ ศาลชั้นต้นที่ รอการลงโทษ จำคุก ให้ จำเลย เป็น ไม่รอการลงโทษ จำคุก ให้ นั้น เป็น การแก้ไข มาก และ เพิ่มเติม โทษ จำเลย จึง ไม่ต้องห้าม ฎีกา ใน ปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219ที่ ศาลชั้นต้น รับ ฎีกา ของ จำเลย ชอบแล้ว
ปัญหา ต่อไป ตาม ฎีกา ของ จำเลย ที่ อ้างว่า จำเลย ได้ เป็น โจทก์ฟ้องโจทก์ ร่วม ทั้ง สอง เป็น จำเลย ใน คดีแพ่ง หมายเลขแดง ที่ 170/2535ของ ศาลชั้นต้น โดย กล่าวหา ว่า โจทก์ร่วม ทั้ง สอง สมคบ กัน ออก โฉนดที่ดินพิพาท รุกล้ำ เข้า มา ใน ที่ดิน ของ จำเลย ขอให้ เพิกถอน การ ออก โฉนดที่ดิน เฉพาะ ส่วน ซึ่ง หาก คดีแพ่ง ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย มีสิทธิครอบครอง ที่ดินพิพาท การกระทำ ของ จำเลย ย่อม ไม่เป็น ความผิด ในข้อหา บุกรุก จึง ควร ที่ จะ รอ คดีอาญา นี้ จนกว่าจะ ทราบ ผล คดีแพ่ง เสีย ก่อน ฉะนั้น ที่ ศาลชั้นต้น ด่วน มี คำพิพากษาคดีอาญา เสีย ก่อน โดย ไม่ ฟัง ผล คดีแพ่ง จึง ไม่ชอบ ด้วย ประมวล กฎหมายวิธีพิจารณา ความ นั้น เห็นว่า การ ที่ จะ ให้ ศาลชั้นต้น พิจารณาพิพากษาคดี แพ่ง ก่อน แล้ว จึง พิจารณา พิพากษาคดี ส่วน อาญา นี้ไม่มี กฎหมาย บัญญัติ บังคับ ไว้ แต่ ใน ทาง ตรงกันข้าม ประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 42 บัญญัติ ว่า “ใน การ พิจารณา คดีแพ่งถ้า พยานหลักฐาน ที่ นำสืบ มา แล้ว ใน คดีอาญา ยัง ไม่ เพียงพอ ศาล จะ เรียกพยานหลักฐาน มา สืบ เพิ่มเติม อีก ก็ ได้ ใน กรณี เช่นนั้น ศาล จะ พิพากษาคดีอาญา ไป ทีเดียว ส่วน คดีแพ่ง จะ พิพากษา ใน ภายหลัง ก็ ได้ ” และมาตรา 46 บัญญัติ ว่า “ใน การ พิจารณา คดี ส่วน แพ่ง ศาล จะ ต้อง ถือข้อเท็จจริง ตาม ที่ ปรากฏ ใน คำพิพากษา คดี ส่วน อาญา ” จาก บทบัญญัติกฎหมาย ดังกล่าว มุ่งหมาย ที่ จะ ให้ ศาล ที่ พิจารณา คดีแพ่ง รอ ฟัง ผลคดี ส่วน อาญา ก่อน แล้ว จึง พิพากษาคดี ส่วน แพ่ง ไป ตาม ข้อเท็จจริงที่ ปรากฏ ใน คำพิพากษา คดี ส่วน อาญา ฉะนั้น การ ที่ ศาลชั้นต้น มี คำพิพากษาคดีอาญา ก่อน โดย ไม่ ฟัง ผล ใน คดีแพ่ง จึง ชอบแล้ว ฎีกา ของ จำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ อย่างไร ก็ ตาม ศาลฎีกา ได้ พิจารณา พยานหลักฐาน ใน สำนวนแล้ว เห็นว่า จำเลย ไม่เคย ได้รับ โทษ จำคุก มา ก่อน การ ที่ จำเลย บุกรุกเข้า ไป ใน ที่ดิน ของ โจทก์ เพียง ล้อม รั้ว เอาไว้ มิได้ ทำให้ ที่ดินเสียหาย พฤติการณ์ แห่ง การกระทำ ความผิด ของ จำเลย ยัง ไม่ ร้ายแรงนัก สมควร ให้ โอกาส จำเลย กลับ ตัว เป็น พลเมือง ดี อีก สักครั้ง ที่ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 ไม่รอการลงโทษ จำคุก ให้ จำเลย นั้น หนัก เกิน ไปศาลฎีกา ไม่เห็น พ้อง ด้วย ”
พิพากษาแก้ เป็น ว่า ให้ บังคับคดี ไป ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น