คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5101/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินและรับเงินกู้ไปจากโจทก์แล้ว โจทก์นำสืบว่าจำเลยเคยกู้ยืมเงินโจทก์มาก่อนวันทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน โดยวิธีนำเช็คมาแลกเงินสดจากโจทก์หลายครั้ง แล้วรวมทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นจำนวนเงินตามฟ้องเนื่องจากโจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คจากธนาคารได้ เป็นการนำสืบเพื่อให้ทราบถึงมูลเหตุที่จำเลยต้องทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินให้แก่โจทก์ อันเป็นการนำสืบถึงความเป็นมาแห่งหนี้ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว และเป็นข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่าเหตุใดจำเลยจึงต้องรับผิดตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้อง หาใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารสัญญาดังกล่าวหรือเป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2535 จำเลยกู้ยืมเงินและรับเงินกู้ไปจากโจทก์137,227 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระต้นเงินคืนภายในวันที่ 27มีนาคม 2536 เมื่อครบกำหนดเวลาดังกล่าวจำเลยไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้แก่โจทก์โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเพียง 5 ปี เป็นเงิน 102,920 บาทรวมกับต้นเงินแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 240,147 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 240,147 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 137,227 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินหรือได้รับเงินจำนวน 137,227 บาท จากโจทก์ตามฟ้อง หนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นเอกสารซึ่งโจทก์จัดทำขึ้นโดยอาศัยลายมือชื่อของจำเลยที่ลงไว้ในหนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่ไม่ได้กรอกข้อความ โจทก์นำมากรอกข้อความโดยลงจำนวนเงินกู้ฝ่าฝืนความจริงและปราศจากความยินยอมของจำเลยจึงเป็นเอกสารปลอมและตกเป็นโมฆะ จำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินตามฟ้องให้แก่โจทก์ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 240,147 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี จากต้นเงิน 137,227 บาท นับถัดจากวันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาว่า ทางพิจารณาโจทก์นำสืบนอกประเด็นไปจากคำฟ้อง เพราะตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่ามีการแปลงหนี้เงินกู้ยืมตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 มาจากมูลหนี้ตามเช็ค ศาลอุทธรณ์ภาค 7 รับฟังพยานหลักฐานของโจทก์แล้ววินิจฉัยว่าหนี้เงินกู้ยืมตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 เกิดจากการแปลงหนี้ใหม่อันมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย จำเลยต้องรับผิดชำระเงินตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ เป็นการมิชอบนั้น เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินและรับเงินกู้ไปจากโจทก์ แล้วโจทก์นำสืบว่าจำเลยเคยกู้ยืมเงินโจทก์มาก่อนวันทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 โดยวิธีนำเช็คมาแลกเงินสดจากโจทก์หลายครั้ง แล้วรวมทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นจำนวนเงินตามฟ้องเนื่องจากโจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คจากธนาคารได้ เป็นการนำสืบเพื่อให้ทราบถึงมูลเหตุที่จำเลยต้องทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 ให้แก่โจทก์ อันเป็นการนำสืบถึงความเป็นมาแห่งหนี้ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว และเป็นข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่าเหตุใดจำเลยจึงต้องรับผิดตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้อง หาใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารสัญญาดังกล่าวหรือเป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นแต่ประการใดไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share