แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามมิให้จำเลยทั้งสองดำเนินการขุดหาแร่ในที่ดินประทานบัตรที่พิพาท ถ้าจำเลยยังขุดหาแร่ต่อไปไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ก็ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 374,850 บาท นับแต่วันพิพากษาจนกว่าจะหยุดดำเนินการ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 1,202,000 บาท และห้ามจำเลยขุดแร่ในที่ดินประทานบัตรพิพาททั้ง 5 แปลงต่อไป นอกจากที่ดำเนินการอยู่แล้วใน 4 รางดังกล่าว และศาลฎีกาพิพากษายืนนั้น ย่อมอนุมานได้ว่าศาลอุทธรณ์มิได้ประสงค์จะพิพากษาให้จำเลยขุดแร่ใน 4 รางนั้น โดยไม่ต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ เมื่อจำเลยยังดำเนินการขุดแร่ต่อไปเพราะโจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยจำต้องชดใช้ค่าทดแทน ถือได้ว่าศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนในผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 374,850 บาทด้วย
ย่อยาว
ชั้นบังคับคดี ในคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยผิดสัญญาและละเมิดคดีถึงที่สุด ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำขอบังคับคดีว่า จำเลยจะต้องนำเงินมาชำระให้โจทก์ตามคำพิพากษาเป็นเงิน 7,949,000 บาท แต่จำเลยชำระให้เพียง 1,202,000 บาท ส่วนค่าเสียหายประจำเดือนนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจนถึงวันที่จำเลยหยุดดำเนินการขุดหาแร่เป็นเวลา 18 เดือน คิดเป็นเงินอีก 6,747,300 บาทจำเลยหาได้ชำระไม่ ขอให้ยึดทรัพย์
ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์จำเลย
จำเลยยื่นคำร้องคัดค้านว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามจำเลยขุดแร่ในที่ดินประทานบัตรดังกล่าว ถ้าจำเลยยังขุดหาแร่ต่อไปไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ก็ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เดือนละ 374,850 บาท นับแต่วันพิพากษาจนกว่าจำเลยจะหยุดดำเนินการ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 1,202,000 บาท และห้ามจำเลยขุดแร่ในที่ดินแปลงประทานบัตรทั้ง 5 แปลงต่อไป นอกจากที่ได้ดำเนินการอยู่แล้วใน 4 ราง นอกจากที่แก้นี้แล้ว ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทุกประการ ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ดังนี้ เป็นอันว่าการขุดแร่ 4 รางที่จำเลยดำเนินการอยู่แล้วนั้น ศาลอุทธรณ์ให้ทำได้โดยไม่ต้องชำระค่าเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากพิพากษาให้จำเลยชำระให้ 1,202,000 บาท เท่านั้น
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยยังคงต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ374,850 บาท นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา ไปจนถึงวันที่ 11 กรกฏาคม2511 ให้ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในประเด็นค่าเสียหายนี้ ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่าจำเลยมีกำไรสุทธิเฉลี่ยเดือนละ 374,850 บาท และค่าเสียหายตามฟ้องศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่ายอดเงินที่จำเลยมีกำไรสุทธิกับยอดเงินที่จำเลยใช้แทนโจทก์ไป โจทก์ควรจะได้รับค่าเสียหายคิดถึงวันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาเพียงเท่าจำนวนที่จำเลยออกแทนโจทก์ไป จึงให้หักกลบลบหนี้กันไปกับเงินที่โจทก์จะต้องใช้คืนจำเลยและห้ามจำเลยทั้งสองดำเนินการขุดหาแร่ในที่ดินประทานบัตรดังกล่าว ถ้ายังขุดหาแร่ต่อไปด้วยเหตุใด ๆ ก็ตาม ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 374,850 บาท นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจนกว่าจำเลยจะหยุดดำเนินการ แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เมื่อหักเงินที่จำเลยใช้แทนโจทก์ออกจากกำไรสุทธิแล้วยังเหลือกำไรสุทธิเป็นส่วนได้ของโจทก์ 1,202,000 บาท เป็นค่าเสียหายโดยตรงที่โจทก์ควรได้รับ ที่ศาลชั้นต้นหักกลบลบหนี้กันไปหมดไม่ชอบ ส่วนคำขอท้ายฟ้องโจทก์ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 1,200,000 บาทนอกจากที่จำเลยขุดแร่ 2 รางนับแต่วันฟ้องมีอยู่แล้ว และข้อห้ามจำเลยขุดเป็นรางที่ 3 ต่อไป กับรางที่ 4 ที่กำลังดำเนินการอยู่ แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาห้ามจำเลยขุดแร่ต่อไป ถ้ายังขุดต่อไปจะต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 374,850 บาท ซึ่งมีผลให้จำเลยต้องใช้ค่าเสียหายไม่ว่าจะขุดแร่รางใดใน 4 รางนั้น แล้วพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 1,202,000 บาท และห้ามจำเลยขุดแร่ในที่ดินประทานบัตรพิพาท 5 แปลงต่อไป นอกจากที่ดำเนินการอยู่แล้วใน 4 รางดังกล่าวย่อมอนุมานได้ว่าศาลอุทธรณ์มิได้ประสงค์จะพิพากษาให้จำเลยขุดแร่ใน 4 รางนั้นได้โดยไม่ต้องใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์แต่ประการใดในเมื่อจำเลยยังดำเนินการขุดแร่ในที่ดินประทานบัตรใน 4 รางดังกล่าวต่อไป เพราะโจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยจำต้องชดใช้ค่าทดแทนให้แก่โจทก์โดยไม่ต้องสงสัยจึงถือได้ว่าเฉพาะประเด็นค่าเสียหายที่จำเลยฎีกามา ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนในผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 374,850 บาท
พิพากษายืน