คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5080/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนเกิดเหตุ ผู้เสียหายชกจำเลยที่บริเวณใบหน้า 1 ครั้ง แต่จำเลยเองเป็นผู้รบเร้าและยินยอมให้ผู้เสียหายทำร้ายจำเลยเพื่อประสงค์จะยุติเรื่องบาดหมางที่มีต่อกัน และได้ความจากผู้เสียหายว่าชกจำเลยเพียงเบาๆ จึงยังถือไม่ได้ว่า ผู้เสียหายข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมดังที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกา ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 92, 80, 33 ริบของกลาง และเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 จำคุก 10 ปี เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 13 ปี 4 เดือน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี 10 เดือน 20 วัน รีบอาวุธมีดของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยใช้อาวุธมีดของกลางแทงนายภานุวัตรผู้เสียหาย 1 ครั้ง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส ตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า วันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 19 นาฬิกา ผู้เสียหาย และนายโชคชัยซึ่งเป็นพี่เขยจะไปร่วมงานศพ แต่ระหว่างทาง จำเลยเรียกให้ผู้เสียหายหยุดพูดคุยเพื่อขอให้ผู้เสียหายคืนดีเนื่องจากก่อนเกิดเหตุประมาณ 5 ถึง 6 วัน จำเลยเคยเตะผู้เสียหายที่ต้นคอเพราะโมโหที่จำเลยขอยืมเงิน แต่ผู้เสียหายไม่ให้ จำเลยพูดรบเร้าให้ผู้เสียหายชกจำเลยคืน ผู้เสียหายจึงชกจำเลยไป 1 ครั้ง บริเวณใบหน้า ซึ่งไม่แรงนัก แล้วจำเลยเดินทางกลับบ้าน หลังจากนั้นอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ขณะที่ผู้เสียหายอยู่ภายในงานศพ จำเลยเดินเข้าไปหาผู้เสียหายพร้อมกับพูดว่า “เราดีกันแล้ว” และใช้อาวุธมีดของกลางแทงที่บริเวณหน้าอกของผู้เสียหายจนหงายหลังล้มลง โดยอาวุธมีดของกลางยังคงปักอยู่ที่หน้าอกของผู้เสียหาย แล้วจำเลยวิ่งหนีไป เห็นว่า แม้ผู้เสียหายจะมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน แต่ผู้เสียหายก็เบิกความถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ก่อนจนภายหลังเกิดเหตุเป็นลำดับขั้นตอนโดยปราศจากข้อพิรุธสงสัยว่าจะกลั้นแกล้งหรือปรักปรำจำเลย ส่วนในชั้นพิจารณา นายโชคชัยซึ่งโจทก์อ้างเป็นพยานจะเบิกความว่า วันเกิดเหตุ ขณะพยานและผู้เสียหายจะไปที่งานศพ ได้เดินสวนกับจำเลย ผู้เสียหายและจำเลยมีปากเสียงกัน ผู้เสียหายชกจำเลย แล้วจำเลยเดินกลับเข้าไปในงานศพ พยานและผู้เสียหายเดินตามไปและเข้าไปนั่งในเต็นท์ พยานไม่เห็นขณะที่จำเลยแทงผู้เสียหาย เห็นแต่ขณะจำเลยวิ่งออกจากเต็นท์ แต่ในชั้นสอบสวนนายโชคชัยให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า วันและเวลาเกิดเหตุ พยานและผู้เสียหายจะไปร่วมงานศพ ได้สวนทางกับจำเลย จำเลยขอให้ผู้เสียหายตบหน้าเพื่อให้หายโกรธกัน จำเลยขอร้องผู้เสียหายหลายครั้ง ผู้เสียหายจึงตบหน้าจำเลยเบาๆ 1 ครั้ง จากนั้นต่างฝ่ายต่างพูดว่า หายโกรธเคืองต่อกัน แล้วแยกทางกัน พยานกับผู้เสียหายเดินเข้าไปในงานศพ ต่อมาจำเลยย้อนกลับมาที่งานศพและพูดขอให้พยานเป็นพยานว่า จำเลยกับผู้เสียหายไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันอีกต่อไป และในทันใดนั้นจำเลยใช้อาวุธมีดแทงที่บริเวณหน้าอกของผู้เสียหาย 1 ครั้ง แล้วหลบไป ตามบันทึกคำให้การของพยานดังกล่าว นายโชคชัยให้การหลังเกิดเหตุไม่นาน เชื่อว่ายังไม่ทันคิดช่วยเหลือปรักปรำจำเลย และไม่ปราฏว่านายโชคชัยได้ให้การโดยมีเหตุจูงใจหรือถูกบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด ที่นายโชคชัยมาเบิกความในชั้นพิจารณาตามที่กล่าวแล้วข้างต้น ก็คงเป็นการเบิกความบ่ายเบี่ยงไปเพื่อช่วยเหลือจำเลยให้พ้นจากความผิด แม้คำให้การในชั้นสอบสวนของนายโชคชัยเป็นพยานบอกเล่า แต่เชื่อได้ว่าคำให้การของพยานดังกล่าวเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความในชั้นพิจารณาซึ่งน่าเชื่อว่าคำให้การของพยานดังกล่าวจะพิสูจน์ความจริงได้ จึงรับฟังคำให้การในชั้นสอบสวนของนายโชคชัยประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ ซึ่งแม้จะรับฟังได้ว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายได้ชกจำเลยที่บริเวณใบหน้า 1 ครั้ง แต่จำเลยเองก็เป็นผู้รบเร้าและยินยอมให้ผู้เสียหายทำร้ายจำเลยเพื่อประสงค์จะยุติเรื่องบาดหมางที่มีต่อกัน และได้ความจากผู้เสียหายว่าๆ ได้ชกจำเลยเพียงเบาๆ เท่านั้น จากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาดังกล่าว ยังถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายได้ข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมดังที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกาจึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ…
พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุกจำเลย 10 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน ยกคำขอให้เพิ่มโทษ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8

Share