คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 508/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ จำเลยให้การรับว่าได้กู้เงินไปจริง แต่ต่อสู้ว่าได้ชำระเงินกู้ให้โจทก์หมดแล้ว จำเลยทวงถามขอให้คืนสัญญากู้ โจทก์ว่าหาย การที่โจทก์นำสัญญากู้มาฟ้อง เป็นการฉ้อโกงและเป็นความเท็จ สัญญากู้จึงใช้ไม่ได้ ตกเป็นโมฆะ ดังนี้ จำเลยจะนำพยานบุคคลมาสืบถึงการใช้เงินกู้นอกเหนือไปจากที่บัญญัติไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรค 2 หาได้ไม่ (ประชุมใหญ่)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป ๑๓,๔๐๐ บาท ดอกเบี้ยร้อยละห้าสลึงต่อเดือน โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้แล้ว จำเลยไม่ชำระจึงฟ้องขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า ได้ทำสัญญากู้ โจทก์จริง แต่ได้ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์หมดแล้ว จำเลยทวงถามขอให้โจทก์คืนหนังสือสัญญากู้เงินให้จำเลย โจทก์อ้างว่าหาย โจทก์นำสัญญากู้มาฟ้องอีก เป็นการฉ้อโกงจำเลย และถือว่าฟ้องโจทก์เป็นความเท็จ สัญญากู้ที่โจทก์ฟ้องจึงใช้ไม่ได้ ตกเป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นสอบจำเลยเรื่องหลักฐานการใช้เงินจำเลยว่าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ มีแต่พยานบุคคลรู้เห็น ส่วนดอกเบี้ยโจทก์ไม่ติดใจเรียก แล้วศาลชั้นต้นงดสืบพยานและ พิพากษาว่า จำเลยจะนำพยานบุคคลเข้าสืบการใช้เงินแทนไม่ได้ ให้จำเลยชำระต้นเงินแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่มีผู้พิพากษาเห็นแย้งว่า คำให้การของจำเลยเป็นการต่อสู้ว่า สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องระงับไปแล้ว เป็นสัญญาที่ใช้ไม่ได้ทั้งฉบับ เพราะโจทก์ฉ้อโกง จำเลยต่อสู้เพื่อทำลายเอกสารที่โจทก์ฟ้อง จำเลยนำพยานบุคคลมาสืบได้
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายโดยมติที่ประชุมใหญ่ว่า ป.พ.พ. มาตรา๖๕๓ วรรค ๒ เป็นบทบังคับเด็ดขาดว่า จะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้วหรือได้เพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว จำเลยจึงนำพยานบุคคลมาสืบไม่ได้ แม้โจทก์จะคิดฉ้อโกงจำเลย เมื่อจำเลยไม่กระทำตามที่กฎหมายบัญญัติ ก็เป็นความผิดของจำเลย พิพากษายืน

Share