แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง 65 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่) ให้ประหารชีวิต เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจหรือพนักงานสอบสวน ศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นก็ได้ แต่ที่ศาลอุทธรณ์ให้จำคุกตลอดชีวิต และลงโทษปรับ 2,400,000 บาท ด้วยนั้นเป็นการไม่ถูกต้อง เพราะโทษที่วางก่อนกำหนดโทษใหม่ไม่มีโทษปรับ ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15, 57, 65, 66, 91, 100/1, 102 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ทวิ, 145/1 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 62 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 ริบเมทแอมเฟตามีน และโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 เครื่อง ของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาตและข้อหาขับรถยนต์ในขณะมีสารเสพติดอยู่ในร่างกาย ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การรับสารภาพข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 57, 65 วรรคสอง, 66 วรรคสาม, 91 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 62 วรรคหนึ่ง เป็นความผิดหลายกรรมให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต และปรับ 1,800,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 เดือน ฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 เดือน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา และจำเลยที่ 1 ช่วยเหลือเจ้าพนักงานตำรวจในการติดต่อผู้มารับยาเสพติดให้โทษของกลางจนสามารถจับกุมจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1 สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายกึ่งหนึ่ง และลดโทษให้จำเลยที่ 1 สำหรับความผิดฐานนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายและฐานเสพเมทแอมเฟตามีน กับฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร กระทงละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) และ 53 ฐานนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย จำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 25 ปี และปรับ 900,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 เดือน และฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 เดือน แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ตลอดชีวิต และปรับ 900,000 บาท จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 57, 66 วรรคสาม, 91 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง และ 157/1 วรรคสอง (ที่ถูกประกอบพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 91) เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต และปรับ 1,800,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีนและฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีนเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ที่ถูก พ.ศ.2522 มาตรา 157/1 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 91) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน และทางนำสืบของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้จำเลยที่ 2 สำหรับความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีนกึ่งหนึ่ง และลดโทษให้จำเลยที่ 2 สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 33 ปี 4 เดือน และปรับ 1,200,000 บาท ฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 เดือน รวมโทษทุกกระทง คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 33 ปี 10 เดือน และปรับ 1,200,000 บาท จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 57, 66 วรรคสาม, 91 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรม ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตลอดชีวิต และปรับคนละ 1,800,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุกจำเลยที่ 3 และที่ 4 คนละ 6 เดือน จำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การรับสารภาพฐานเสพเมทแอมเฟตามีน และทางนำสืบของจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 สำหรับความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนกึ่งหนึ่ง และลดโทษให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกจำเลยที่ 3 และที่ 4 คนละ 33 ปี 4 เดือน และปรับคนละ 1,200,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุกจำเลยที่ 3 และที่ 4 คนละ 3 เดือน รวมโทษทุกกระทง คงจำคุกจำเลยที่ 3 และที่ 4 คนละ 33 ปี 7 เดือน และปรับคนละ 1,200,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบเมทแอมเฟตามีน และโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 เครื่อง ของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 65 วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ประกอบพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 2,400,000 บาท ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 33 ปี 4 เดือน และปรับ 1,600,000 บาท เมื่อรวมกับโทษสำหรับความผิดฐานอื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 33 ปี 10 เดือน และปรับ 1,600,000 บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงลงโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุกคนละ 3 เดือน ให้รอการลงโทษจำเลยที่ 4 ไว้มีกำหนด 2 ปี แต่เพื่อให้จำเลยที่ 4 หลาบจำและมีโอกาสกลับตัวได้ยิ่งขึ้น จึงให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 4 เป็นเงิน 10,000 บาท อีกสถานหนึ่ง เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วคงปรับ 5,000 บาท และให้คุมความประพฤติของจำเลยที่ 4 ไว้โดยให้จำเลยที่ 4 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน ตลอดระยะเวลาที่รอการลงโทษ คืนโทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 08 7879 xxxx แก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคนต่างด้าว เชื้อชาติลาว สัญชาติลาว เดินทางจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เข้ามาในราชอาณาจักรไทย บริเวณตำบลนาแวง อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี โดยไม่ได้เข้ามาตามช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมือง ไม่ผ่านการตรวจของพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง และไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารอันถูกต้อง มีเมทแอมเฟตามีน 4,200 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 114.824 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยทั้งสี่เสพเมทแอมเฟตามีนและจำเลยที่ 2 เป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน สำหรับคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 คงฟังยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยคู่ความมิได้ฎีกาคัดค้านว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต นำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และเสพเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนคดีของจำเลยที่ 2 เฉพาะความผิดฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ ส่วนความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน จำเลยที่ 2 ไม่ได้อุทธรณ์ คดีจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนคดีของจำเลยที่ 3 และที่ 4 เฉพาะความผิดฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ และความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่ได้อุทธรณ์ คดีจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนขับรถกระบะและได้ลงจากรถยนต์ไปหยิบเมทแอมเฟตามีนของกลาง จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งนั่งโดยสารไปในรถกระบะนั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะมีพันตำรวจโท สุทินและพันตำรวจตรี ปาระเมศร์มาเบิกความเป็นพยานถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวก็ตาม แต่จำเลยที่ 3 นำสืบต่อสู้ว่า จำเลยที่ 3 ไปกับจำเลยที่ 2 เพราะจำเลยที่ 3 ได้ยืมรถกระบะของนางดัชณี น้องสาว เพื่อไปซื้อสิ่งของ แล้วจำเลยที่ 2 ขอให้จำเลยที่ 3 พาจำเลยที่ 2 ไปที่สวนเสือตระการ ส่วนจำเลยที่ 4 นำสืบต่อสู้ว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 2 พาจำเลยที่ 4 ไปเปิดห้องพักที่โรงแรม ระหว่างนั้นมีคนโทรศัพท์มาหาจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 และที่ 4 จึงออกจากห้องพักแล้วจำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์พาจำเลยที่ 4 ไปที่บ้านหนองไฮ ต่อมาจำเลยที่ 3 ขับรถกระบะไปหาจำเลยที่ 2 แล้วจำเลยที่ 2 และที่ 3 พาจำเลยที่ 4 ไปที่สวนเสือตระการ จนกระทั่งถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม โดยจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเมทแอมเฟตามีนของกลางแต่อย่างใด ดังนั้น การที่จะรับฟังลงโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายได้ก็ต่อเมื่อรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 รู้ว่าจำเลยที่ 2 พาจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไปรับเมทแอมเฟตามีนของกลางเท่านั้น แต่จำเลยที่ 3 และที่ 4 จะรู้ว่าจำเลยที่ 2 พาจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไปรับเมทแอมเฟตามีนของกลางหรือไม่นั้น เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตามคำเบิกความของพันตำรวจตรี ปาระเมศร์ว่าเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุม จำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่ได้วิ่งหนีไปไหน เจ้าพนักงานตำรวจสอบถามจำเลยที่ 3 และที่ 4 ก็ตอบปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง จึงเห็นได้ว่าหากจำเลยที่ 3 และที่ 4 รู้ว่าจำเลยที่ 2 พาจำเลยที่ 3 และที่ 4 มารับเมทแอมเฟตามีนของกลางแล้ว โดยสัญชาตญาณ จำเลยที่ 3 และที่ 4 คงจะวิ่งหนีไปไม่ยอมให้จับกุม การที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 มิได้หลบหนี จึงอาจเป็นไปได้ว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่รู้ว่าจำเลยที่ 2 พาจำเลยที่ 3 และที่ 4 มาเพื่อรับเมทแอมเฟตามีน ประกอบกับพยานโจทก์มิได้เบิกความเลยว่าเห็นจำเลยที่ 3 และที่ 4 กระทำการอย่างใด อันแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 รู้เห็นเกี่ยวข้องเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เหตุที่จับกุมจำเลยที่ 3 และที่ 4 เนื่องจากจำเลยที่ 3 และที่ 4 อยู่ในที่เกิดเหตุ คดีนี้ แม้จะจับกุมจำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้ในขณะอยู่ร่วมกับจำเลยที่ 2 ในที่เกิดเหตุ แต่ตามพฤติการณ์และพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมา ยังมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โดยเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์มีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดดังกล่าวหรือไม่ และให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้และของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 08 7879 xxxx ของกลาง ของจำเลยที่ 3 นั้น เห็นว่า ทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 08 7879 xxxx ของกลาง จำเลยที่ 3 ได้นำมาใช้สำหรับติดต่อซื้อขายเมทแอมเฟตามีนในคดีนี้อย่างไร โทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางดังกล่าวจึงไม่ใช่เครื่องมือ เครื่องใช้ หรือวัตถุอื่นซึ่งจำเลยที่ 3 ได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และไม่ใช่ทรัพย์สินซึ่งจำเลยที่ 3 ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดดังกล่าว จึงไม่อาจริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางดังกล่าวได้ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 102 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน อนึ่ง ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา มีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2560 มาตรา 6 ให้ยกเลิกความในมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 โดยมาตรา 65 วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่ ในส่วนที่เกี่ยวกับโทษซึ่งมีหลายสถานที่จะลงได้ ถือว่ากฎหมายที่ใช้ภายหลังการกระทำความผิดเป็นคุณมากกว่า จึงต้องใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 ไม่ว่าในทางใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลมีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง และ 225 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 ที่ศาลชั้นต้นวางโทษประหารชีวิตจำเลยที่ 1 เป็นการเหมาะสมตามพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ 1 น้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 โดยให้จำคุกตลอดชีวิต และลงโทษปรับ 2,400,000 บาท ด้วยนั้นเป็นการไม่ถูกต้อง เพราะโทษที่วางก่อนกำหนดโทษใหม่ไม่มีโทษปรับ ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 65 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่) ประกอบพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 ให้จำคุกตลอดชีวิต ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 33 ปี 4 เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานอื่นแล้วเป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 33 ปี 10 เดือน ส่วนโทษสำหรับจำเลยอื่นและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์