แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เด็กชาย ฤ เป็นบุตรผู้ตายซึ่งเกิดจากโจทก์ที่ 1 ในขณะที่ผู้ตายและโจทก์ที่ 1 ยังไม่ได้สมรสกัน ต่อมาผู้ตายและโจทก์ที่ 1ได้สมรสกันแล้ว จึงต้องถือว่าเด็กชาย ฤ เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 กรณีเรียกค่าสินไหมทดแทนเพราะทำให้เขาถึงตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 ซึ่งได้แก่ค่าปลงศพ และค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่น ๆ กับค่าใช้จ่ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 444 ในกรณีทำให้ผู้อื่นเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยนั้นแม้หน่วยราชการต้นสังกัดที่ผู้ตายทำงานอยู่ได้ทดรองจ่ายค่าปลงศพและค่ารักษาพยาบาลให้แก่ผู้มีสิทธิรับไปแล้ว ก็หาทำให้ผู้กระทำละเมิดต่อผู้ตายพ้นความรับผิดไปไม่ โจทก์ที่ 1 ได้รับบาดแผลฉีกขาดที่แก้มขวา เมื่อรักษาแผลหายแล้วจะมีรอยแผลเป็นที่แก้มขวาทำให้เสียโฉม จะทำให้หายได้ก็โดยทำศัลยกรรมตกแต่ง โจทก์ที่ 1 ย่อมมีสิทธิเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้จากจำเลยได้ แม้จะยังไม่ได้ให้แพทย์ทำศัลยกรรมตกแต่งก็ตาม
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสามฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายอดุล พฤฑฒิกุล ผู้ตาย และเป็นมารดาของเด็กชายฤทธิรงค์ พฤฑฒิกุล ผู้เยาว์ โจทก์ที่ 2 และที่ 3 เป็นบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย จำเลยที่ 1 ขับรถโดยสารปรับอากาศในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วยความประมาท ชนรถยนต์ที่ผู้ตายขับแล่นสวนมา เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายรวม 802,585 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้ง และแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งว่า เด็กชายฤทธิรงค์ไม่ใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ใช่บิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย เหตุรถชนกันคดีนี้เกิดจากความประมาทของผู้ตาย ทำให้รถโดยสารปรับอากาศของจำเลยที่ 2 เสียหายค่าเสียหายที่โจทก์ทั้งสามเรียกร้องมาสูงเกินไป ขอให้ยกฟ้องให้โจทก์ทั้งสามในฐานะทายาทผู้รับมรดกของผู้ตายร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้จำเลยที่ 2 เป็นเงิน 330,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ใด ๆกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 เหตุรถชนกันตามฟ้องเกิดจากความประมาทของผู้ตาย ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องสูงเกินไป ขอให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสามให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เหตุละเมิดเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียว ค่าเสียหายที่จำเลยที่ 2 ฟ้องแย้งสูงกว่าความเป็นจริง ขอให้ยกฟ้องแย้ง จำเลยที่ 1 และที่ 3 ขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 502,585 บาท ให้โจทก์ที่ 3จำนวน 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ยกฟ้องโจทก์ทั้งสามในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ยกฟ้องโจทก์ที่ 2 และยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกาตามข้อฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการแรกมีว่า เด็กชายฤทธิรงค์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายและโจทก์ที่ 1 หรือไม่ และผู้ตายเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ 3 หรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ทั้งสามและเด็กชายฤทธิรงค์ พฤฑฒิกุลพยานโจทก์ว่า โจทก์ที่ 2 กับโจทก์ที่ 3 อยู่กินมีบุตรด้วยกัน 11 คนยังมีชีวิตอยู่ 8 คน ผู้ตายเป็นบุตรคนโต เด็กชายฤทธิรงค์เป็นบุตรของผู้ตายและโจทก์ที่ 1 ปรากฏตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย ป.จ.2 ใบรับรองของครูใหญ่โรงเรียนเทพมิตรศึกษาเอกสารหมาย ป.จ.3 และหนังสือรับรองของอาจารย์ใหญ่โรงเรียนสารสิทธิ์พิทยาลัย เอกสารหมาย ป.จ.4 ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสำเนาทะเบียนบ้านดังกล่าวได้ระบุว่า ผู้ตายเป็นบุตรของโจทก์ที่ 3เด็กชายฤทธิรงค์เป็นบุตรของผู้ตายกับโจทก์ที่ 1 ส่วนใบรับรองและหนังสือรับรองดังกล่าวได้ระบุว่า เด็กชายฤทธิรงค์เป็นบุตรของผู้ตายและโจทก์ที่ 1 หลักฐานดังกล่าวเป็นเอกสารที่เจ้าพนักงานและครูใหญ่อาจารย์ใหญ่ทำขึ้นตามหน้าที่แสดงถึงสถานภาพความสัมพันธ์ในครอบครัวของเด็กชายฤทธิรงค์โจทก์ที่ 1โจทก์ที่ 3 และผู้ตาย จำเลยที่ 2 ไม่มีพยานมาสืบหักล้างในข้อนี้จึงฟังได้ว่าเด็กชายฤทธิรงค์เป็นบุตรของผู้ตายอันเกิดจากโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 3 เป็นมารดาของผู้ตาย แม้ว่าตามเอกสารหมาย ป.จ.2เด็กชายฤทธิรงค์เกิดในปี พ.ศ. 2515 ผู้ตายกับโจทก์ที่ 1 เพิ่งมาจดทะเบียนสมรสกันในปี พ.ศ. 2516 ตามใบสำคัญการสมรสเอกสารหมาย จ.1ก็ตาม ก็เป็นกรณีเด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน เมื่อต่อมาบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลังต้องถือว่าเด็กชายฤทธิรงค์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1547 และผู้ตายเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ 3ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 โจทก์ที่ 1 ในฐานะส่วนตัวและมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายฤทธิรงค์ และโจทก์ที่ 3 ในฐานะมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายจึงมีอำนาจฟ้องจำเลย
ปัญหาประการสุดท้ายเรื่องค่าสินไหมทดแทน สำหรับค่าปลงศพของผู้ตาย ค่ารักษาพยาบาลโจทก์ที่ 1 และเด็กชายฤทธิรงค์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ค่าสินไหมทดแทนในกรณีทำให้เขาถึงตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 ซึ่งได้แก่ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่น ๆ และค่าใช้จ่ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 ในกรณีทำให้ผู้อื่นเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยนั้น แม้จะได้ความว่าทางศูนย์เครื่องมือกลสุราษฎร์ธานีซึ่งเป็นต้นสังกัดที่ผู้ตายทำงานอยู่ได้ทดรองจ่ายค่าปลงศพและค่ารักษาพยาบาลให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับไปแล้วแทนโจทก์ที่ 1 และเด็กชายฤทธิรงค์ ก็หาได้เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 1 ที่ 2ไม่ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ผู้กระทำละเมิดยังคงต้องรับผิดฐานละเมิดอยู่ดี ค่ารักษาพยาบาลโจทก์ที่ 1 และเด็กชายฤทธิรงค์ โจทก์มีพยานมาสืบฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 และเด็กชายฤทธิรงค์ต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลและศูนย์เครื่องมือกลสุราษฎร์ธานีได้ออกเงินทดรองจ่ายไปจริง จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 1และเด็กชายฤทธิรงค์ในค่าเสียหายดังกล่าว แม้ว่าโจทก์ที่ 1และเด็กชายฤทธิรงค์จะไม่มีใบเสร็จรับเงินมาแสดงก็ตาม สำหรับค่าทำศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าโจทก์ที่ 1 ซึ่งเสียโฉมและโจทก์ที่ 1เรียกร้องมานั้น โจทก์มีนายแพทย์สถาพร วงษ์เจริญผู้ตรวจรักษาโจทก์ที่ 1 และเด็กชายฤทธิรงค์ มาเบิกความประกอบว่า โจทก์ที่ 1 ได้รับบาดแผลฉีดขาดที่แก้มขวา เมื่อรักษาแผลหายแล้วจะมีรอยแผลเป็นที่แก้มขวาทำให้เสียโฉม จะทำให้หายได้ก็โดยทำศัลยกรรมตกแต่ง จึงเชื่อว่าโจทก์ที่ 1 ได้รับบาดแผลเสียโฉมที่ใบหน้าจริง จำต้องทำศัลยกรรมตกแต่งจึงจะหายเสียโฉม ดังนั้นโจทก์ที่ 1 จึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้จากจำเลยที่ 1 ที่ 2ได้ แม้ว่าจะยังไม่ได้ให้แพทย์ทำศัลยกรรมตกแต่งก็ตาม ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ค่าขาดไร้อุปการะของเด็กชายฤทธิรงค์และโจทก์ที่ 3 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดให้จำเลยที่ 2 ชดใช้มีจำนวนสูงเกินไป ความจริงไม่ควรเกินจำนวนตามที่จำเลยที่ 2 ฎีกานั้นศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อพิจารณาถึงความร้ายแรงแห่งการกระทำละเมิดความเสียหายที่ได้รับ อายุของเด็กชายฤทธิรงค์ โจทก์ที่ 3ผู้ตาย ฐานะอาชีพและรายได้ของผู้ตายซึ่งเป็นวิศวกรแล้ว เห็นว่าจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดมานั้นเป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้ว”
พิพากษายืน