แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อการสมรสสิ้นสุดลงด้วยความตายตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1501 คดีไม่มีความจำเป็นที่โจทก์จะมาฟ้องร้องขอให้เพิกถอนการสมรสนั้นอีกศาลพิพากษายกฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของพันตำรวจเอกจำรัส อัศวนนท์ กับนางมาลี โจทก์ที่ ๔ เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของพันตำรวจเอกจำรัส กับนางสุดารา พันตำรวจเอกจำรัสกับนางมาลีเป็นสามีภริยากันเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๗๖ ส่วนพันตำรวจเอกจำรัสกับนางสุดาราเป็นสามีภริยากันเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๗๔ ต่อมาวันที่ ๒๗เมษายน ๒๕๒๑ พันตำรวจเอกจำรัสถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๒๑โจทก์ที่ ๑ ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของพันตำรวจเอกจำรัสต่อศาล จำเลยร้องคัดค้านอ้างว่าจำเลยได้จดทะเบียนสมรสกับพันตำรวจเอกจำรัสขอให้ยกคำร้องของโจทก์ที่ ๑ ให้จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกแทน ความจริงจำเลยมิใช่ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของพันตำรวจเอกจำรัส เพราะขณะที่จำเลยจดทะเบียนสมรส เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๔๙๘ นั้น พันตำรวจเอกจำรัสยังเป็นคู่สมรสโดยชอบด้วยกฎหมายของนางมาลีและนางสุดาราการสมรสระหว่างจำเลยและพันตำรวจเอกจำรัสจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๕๒ ขอให้พิพากษาว่าการสมรสโดยจดทะเบียนสมรสระหว่างพันตำรวจเอกจำรัส อัศวนนท์ กับจำเลยเป็นโมฆะ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ฟ้องคดีหลังจากที่พันตำรวจเอกจำรัสถึงแก่ความตายไปแล้ว ผลของความตายทำให้การสมรสสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๐๑ คำฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏเหตุว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิฟ้อง แต่พันตำรวจเอกจำรัสได้หย่าขาดกับนางมาลีและนางสุดาราก่อนที่จะจดทะเบียนสมรสกับจำเลยการสมรสระหว่างพันตำรวจเอกจำรัสกับจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมายพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสี่และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสี่และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยก่อนว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการสมรสของจำเลยกับพันตำรวจเอกจำรัสผู้ตายได้หรือไม่ แล้ววินิจฉัยว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าพันตำรวจเอกจำรัสถึงแก่ความตายไปแล้ว การสมรสของพันตำรวจเอกจำรัสจึงสิ้นสุดลงด้วยการตายตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๙ มาตรา ๑๕๐๑ คดีไม่มีความจำเป็นแต่ประการใดที่โจทก์ทั้งสี่จะมาฟ้องร้องขอให้เพิกถอนการสมรสนั้นอีก แม้จะได้ความตามคำบรรยายฟ้องโจทก์ว่า จำเลยนี้ได้ร้องคัดค้านการขอให้ศาลตั้งโจทก์ที่ ๑ เป็นผู้จัดการทรัพย์มรดกของผู้ตาย ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้โต้แย้งสิทธิโจทก์เกี่ยวกับมรดกของผู้ตายที่จะถือเป็นเหตุร้องจำเลยขอให้เพิกถอนการสมรสเป็นคดีนี้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๕๕ ได้ เมื่อฟังว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องร้องขอให้เพิกถอนการสมรสของจำเลยกับผู้ตายได้แล้ว คดีก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ทั้งสี่อีกต่อไป
ที่ศาลล่างพิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน