คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5051/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ประกัน ประกันตัวจำเลยไปในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นโดยทำสัญญาประกันไว้ต่อศาล ต่อมาผู้ประกัน ผิดสัญญาประกันโดยไม่ส่งตัวจำเลยตามนัด ศาลชั้นต้นสั่งปรับ ผู้ประกันเต็มตามสัญญาแล้ว ต่อมาผู้ประกันยื่นคำร้องขอให้ ลดค่าปรับ ศาลชั้นต้นลดค่าปรับให้บางส่วน ผู้ประกันยื่นคำร้องขอลดค่าปรับอีก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลง คำสั่งเป็นอย่างอื่น ให้ยกคำร้องศาลอุทธรณ์พิพากษายืน กรณีของ ผู้ประกันดังกล่าวจึงเป็นอันถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119 ไม่อาจที่ จะฎีกาต่อมาอีกได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ประกัน ประกันตัวจำเลยไปโดยทำสัญญาประกันไว้ต่อศาล ต่อมาผู้ประกันผิดสัญญาประกันโดยไม่ส่งตัวจำเลยตามนัด ศาลชั้นต้นสั่งปรับผู้ประกันเต็มตามสัญญา ผู้ประกันยื่นคำร้องขอให้ลดค่าปรับศาลชั้นต้นลดค่าปรับให้ 50,000 บาท คงปรับ 300,000 บาท ผู้ประกันยื่นคำร้องขอลดค่าปรับอีก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าการจับกุมตามบันทึกการจับกุมเป็นเรื่องสายลับเป็นผู้ล่อซื้อ ผู้ร้องไม่มีส่วนในการจับกุมไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเป็นอย่างอื่น ให้ยกคำร้อง
ผู้ประกันอุทธรณ์ขอให้ลดค่าปรับ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ประกันฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119 บัญญัติว่า “ในกรณีผิดสัญญาประกันต่อศาล ศาลมีอำนาจสั่งบังคับตามสัญญาประกันหรือตามที่ศาลเห็นควรโดยมิต้องฟ้อง เมื่อศาลสั่งประการใดแล้วฝ่ายผู้ถูกบังคับตามสัญญาประกันหรือพนักงานอัยการมีอำนาจอุทธรณ์ได้ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด” ดังนั้น กรณีของผู้ประกันดังกล่าวจึงเป็นอันถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ไม่อาจที่จะฎีกาต่อมาอีกได้ตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของผู้ประกัน

Share