คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 505/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องได้บรรยายคำร้องว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1906 ที่โจทก์นำยึดนั้นมิใช่สินสมรสของจำเลย แต่เป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องโดยผู้ร้องได้รับมาจากบุพการี คำร้องของผู้ร้องจึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของผู้ร้องแล้วว่าที่ดินพิพาทที่โจทก์นำยึดนั้นมิใช่ของจำเลยหรือเป็นสินสมรสแต่เป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง โดยผู้ร้องแนบเอกสารการได้มาของที่ดินพิพาทมาท้ายคำร้องซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำร้องและมีคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว ส่วนผู้ร้องได้ที่ดินพิพาทมาจากบุพการีโดยวิธีใดและเมื่อใดนั้น เป็นเพียงรายละเอียดที่ผู้ร้องสามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้หาจำต้องบรรยายมาในคำร้องไม่
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องได้รู้เห็นและยินยอมในการที่จำเลยนำที่ดินพิพาทไปเป็นหลักประกันตัวผู้ต้องหา เมื่อจำเลยผิดสัญญาประกันและศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาประกันแต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์มีอำนาจยึดที่ดินพิพาทบังคับชำระหนี้ได้ไม่ว่าทรัพย์พิพาทจะเป็นสินสมรสหรือสินส่วนตัวก็ตาม ผู้ร้องจะอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวเพื่อไม่ให้บังคับคดีแก่ที่ดินพิพาทหาได้ไม่ ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาท เพราะเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 5 และปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ต่อมาจำเลยไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1906 เนื้อที่ 11 ไร่ 3 งาน 13 ตารางวา ราคาประมาณ 471,300 บาท เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่โจทก์นำยึดนั้นมิใช่สินสมรสของจำเลย แต่เป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องโดยผู้ร้องได้รับมาจากบุพการี โจทก์มิได้ฟ้องผู้ร้องด้วยจึงไม่มีสิทธิยึดที่ดินพิพาท ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า คำร้องของผู้ร้องเคลือบคลุมเนื่องจากมิได้บรรยายโดยชัดแจ้งว่า ผู้ร้องได้ที่ดินพิพาทมาจากบุพาการีโดยวิธีใดและเมื่อใด ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสซึ่งจำเลยนำไปเป็นหลักประกันในการทำสัญญาประกันตัวผู้ต้องหาต่อโจทก์ โดยผู้ร้องให้ความยินยอมและทำหนังสือรับรองราคาที่ดินพิพาทไว้ตามเอกสารท้ายคำร้องผู้ร้องย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสที่จำเลยนำไปผูกพันชำระหนี้ระหว่างสมรส ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจร้องขัดทรัพย์ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นสามีจำเลยโดยจดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2520 เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2532 จำเลยทำสัญญาประกันตัวผู้ต้องหาต่อโจทก์โดยนำที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1906 เนื้อที่ 11 ไร่ 3 งาน 13 ตารางวา ซึ่งมีชื่อผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองเป็นหลักประกันโดยผู้ร้องได้ทำหนังสือให้ความยินยอมและรับรองราคาประเมินที่ดินพิพาท ต่อมาจำเลยผิดสัญญาประกันโจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ คดีถึงที่สุด จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทเพื่อนำออกขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า คำร้องของผู้ร้องเคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องได้บรรยายคำร้องว่าที่ดินตามหนังสือตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1906 ที่โจทก์นำยึดนั้นมิใช่สินสมรสของจำเลย แต่เป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องโดยผู้ร้องได้รับมาจากบุพการี โจทก์มิได้ฟ้องผู้ร้องด้วยจึงไม่มีอำนาจยึดที่ดินพิพาทขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด คำร้องของผู้ร้องจึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของผู้ร้องแล้วว่าที่ดินพิพาทที่โจทก์นำยึดนั้นมิใช่ของจำเลยหรือเป็นสินสมรส แต่เป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง โดยผู้ร้องแนบเอกสารการได้มาของที่ดินพิพาทมาท้ายคำร้องซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำร้องและมีคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว ส่วนผู้ร้องได้ที่ดินพิพาทมาจากบุพการีโดยวิธีใดและเมื่อใดนั้น เป็นเพียงรายละเอียดที่ผู้ร้องสามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้หาจำต้องบรรยายมาในคำร้องไม่ คำร้องของผู้ร้องจึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ประการสุดท้ายว่า ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทหรือไม่ ผู้ร้องเบิกความตอบโจทก์ถามค้านว่า จำเลยนำที่ดินพิพาทไปยื่นประกันตัวผู้ต้องหาต่อพนักงานสอบสวน โดยผู้ร้องทำหนังสือยินยอมให้นำที่ดินพิพาทเป็นหลักประกัน และยังทำหนังสือรับรองว่าหากมีความเสียหายเกิดขึ้นจากการประกันตัวผู้ต้องหา ผู้ร้องยินยอมรับผิดชอบ คำเบิกความของผู้ร้องเจือสมกับคำเบิกความพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องได้รู้เห็นและยินยอมในการที่จำเลยนำที่ดินพิพาทไปเป็นหลักประกันตัวผู้ต้องหา เมื่อจำเลยผิดสัญญาประกันและศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาประกันแต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์มีอำนาจยึดที่ดินพิพาทบังคับชำระหนี้ได้ไม่ว่าทรัพย์พิพาทจะเป็นสินสมรสหรือสินส่วนตัวก็ตาม ดังนั้น ผู้ร้องจะอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวและจะใช้สิทธิร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทหาได้ไม่ ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5 และปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

Share