คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 505/2525

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยเคยฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาข้อหาฉ้อโกงว่า โจทก์หลอกลวงให้จำเลยเช่าซื้อที่ดินที่โจทก์ไม่อาจจัดการโอนกรรมสิทธิ์ได้เพราะติดจำนองจำเลยได้เบิกความในคดีดังกล่าวว่าจำเลยชำระค่าเช่าซื้อครบแล้วแต่โจทก์ยังไม่จัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เช่าซื้อให้จำเลย ดังนี้ ข้อสำคัญในคดีดังกล่าวมีว่า โจทก์ได้หลอกลวงให้จำเลยหลงเชื่อจึงเช่าซื้อที่ดินโจทก์หรือไม่คำเบิกความของจำเลยที่ว่าชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว ถึงหากจะเป็นความเท็จก็มิใช่ข้อสำคัญในคดี การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จ

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีคงได้ความตามฟ้องและหลักฐานพยานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า เดิมจำเลยเช่าซื้อที่ดิน 1แปลงจากโจทก์เนื้อที่ 40 ตารางวา เป็นเงิน 48,000 บาท ผ่อนชำระเป็นรายเดือน เดือนละ 600 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2522จำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาข้อหาฉ้อโกงต่อศาลอาญาว่า โจทก์ได้หลอกลวงจำเลยว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1765แขวงบางนา เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร โจทก์ได้นำที่ดินดังกล่าวออกจัดสรรขายให้แก่ประชาชนโดยผ่อนชำระเงิน หากจำเลยเช่าซื้อที่ดินดังกล่าวและชำระค่าเช่าซื้อเรียบร้อยแล้ว โจทก์จะจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ทันที ซึ่งเป็นความเท็จและปกปิดความจริงที่ควรแจ้งให้จำเลยทราบ เพราะโจทก์ได้นำที่ดินดังกล่าวไปจำนองธนาคารไว้แล้วก่อนที่จำเลยจะเช่าซื้อที่ดินของโจทก์ จำเลยได้ชำระเงินเช่าซื้อที่ดินให้โจทก์เสร็จสิ้นแล้ว โจทก์ไม่อาจโอนที่ดินให้จำเลยได้ ปรากฎตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 24061/2522 ของศาลอาญา ต่อมาวันที่ 28 พฤษภาคม 2522 จำเลยได้สาบานตัวเข้าเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่าจำเลยได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อที่ดินแล้ว แต่โจทก์ยังไม่จัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เช่าซื้อให้จำเลย ศาลอาญาจึงสั่งว่าคดีมีมูลแต่ต่อมาเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2522 จำเลยได้เบิกความต่อศาลอาญาในชั้นพิจารณาคดีอาญาดังกล่าวว่า จำเลยยังค้างชำระค่าเช่าซื้อที่ดินอีก 1 งวด เป็นเงิน 600 บาท คำเบิกความของจำเลยในชั้นไต่สวนมูลฟ้องจึงเป็นความเท็จ ต่อมาทนายจำเลยได้ชำระเงิน 600 บาทให้โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 2 จึงจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้จำเลย จำเลยจึงถอนฟ้องคดีอาญาดังกล่าวคดีถึงที่สุด

ได้ความดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 24061/2522 ที่จำเลยฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าฉ้อโกงนั้น ข้อสำคัญแห่งคดีมีว่าโจทก์ได้ทำการหลอกลวงมีข้อความตามฟ้องให้จำเลยหลงเชื่อ จึงเช่าซื้อที่ดินโจทก์หรือไม่ ดังนั้นคำเบิกความของจำเลยในชั้นไต่สวนมูลฟ้องที่ว่าได้ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว ถึงหากจะเป็นความเท็จก็มิใช่ข้อสำคัญในคดีเพราะข้อที่ว่าจำเลยชำระเงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้วหรือยังค้างชำระอยู่อีก 600 บาท ก็นับได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยได้ชำระเงินให้แก่โจทก์ไปแล้วเพราะหลงเชื่อตามการหลอกลวงของโจทก์ ซึ่งจำเลยย่อมได้รับความเสียหายและเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายเช่นเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177”

พิพากษายืน

Share