แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ขอบังคับให้จำเลยขายที่ดินให้แก่โจทก์ในราคา 1,695,620บาท ตามสัญญาจะซื้อจะขาย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขายที่ดินให้แก่โจทก์ในราคาไร่ละ 40,000 บาท เมื่อคิดคำนวณแล้วมากกว่าราคาที่โจทก์จำเลยตกลงกันตามสัญญาจะซื้อจะขายประมาณ 50,000 บาทโจทก์ไม่อุทธรณ์และฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นการที่จำเลยได้รับประโยชน์ไม่ใช่โจทก์ซึ่งโจทก์ก็รับในคำแก้ฎีกากรณีจึงไม่ใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์ตามที่จำเลยฎีกา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินสวนและที่ดินนาเนื้อที่ 43 ไร่ 3 งาน 6 ตารางวา ให้แก่โจทก์ในราคาที่สวนไร่ละ80,000 บาท ที่นาไร่ละ 8,000 บาท ที่ดินมีสภาพเป็นเนื้อที่สวนเนื้อที่ 18 ไร่ 2 งาน 75 ตารางวา คิดเป็นเงิน 1,495,000 บาทที่ดินมีสภาพเป็นที่นาเนื้อที่ 25 ไร่ 31 ตารางวา คิดเป็นเงิน200,620 บาท รวมราคา 1,695,620 บาท ในวันทำสัญญาโจทก์ได้ชำระเงินมัดจำให้จำเลยเป็นเงิน 20,000 บาท และจำเลยจะจดทะเบียนโอนที่ดินขายให้แก่โจทก์ประมาณเดือนมีนาคม 2531 เมื่อถึงกำหนดโจทก์ได้เตรียมเงินค่าที่ดินพร้อมชำระแล้ว จำเลยเพิกเฉยไม่จดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญา ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนขายที่ดินให้แก่โจทก์ในราคา 1,695,620 บาท หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยส่งมอบที่ดินให้โจทก์และห้ามจำเลยพร้อมบริวารเกี่ยวข้องอีกต่อไป กับให้จำเลยชำระเบี้ยปรับเป็นเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยตกลงกับโจทก์ว่าจะไปจดทะเบียนซื้อขายที่ดินกับโจทก์ในวันที่ 7 มีนาคม 2531 จำเลยไม่ได้ผิดสัญญาซื้อขาย หากโจทก์ได้รับความเสียหายโจทก์ก็เสียหายไม่เกิน2,000 บาท ส่วนเบี้ยปรับ 500,000 บาท โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกจากจำเลยเพราะโจทก์จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน โจทก์สมคบกับนายธีระศักดิ์ นาคแก้ว ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทโดยไม่สุจริตขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนขายและส่งมอบที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 230 ตำบลสิชลอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราชให้แก่โจทก์ ทั้งนี้เมื่อโจทก์ชำระราคาที่ดินไร่ละ 40,000 บาท ให้จำเลยแล้ว ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของนายเสวียน วัชรชลธี พยานโจทก์ซึ่งรับราชการที่สำนักงานที่ดินอำเภอสิชล และเป็นผู้ไปรังวัดที่พิพาทว่า ตอนโจทก์จำเลยยื่นคำร้องขอทำนิติกรรมโอนขายที่พิพาท พยานได้สอบถามโจทก์จำเลยแล้วตกลงซื้อขายที่สวนราคาไร่ละ 80,000 บาท ที่นาไร่ละ 8,000 บาท พยานได้คิดราคาถัวเฉลี่ยเป็นไร่ละ 40,000 บาท เพราะหากคิดที่ดินต่างราคากันราคากันจะต้องไปทำการรังวัดใหม่และจำเลยไม่กล้าทักท้วง ทั้งโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์และฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลล่างว่าพิพากษาเกินคำขอเรื่องนี้ด้วย การที่นายเสวียนคิดราคาที่ดินโดยเฉลี่ยไร่ละ40,000 บาท แม้คำนวณราคาที่ดินทั้งหมดแล้วจะสูงเกินกว่าราคาที่ตกลงกันไปประมาณ 50,000 บาท ก็เป็นการที่จำเลยได้รับประโยชน์ไม่ใช่โจทก์ ซึ่งโจทก์ก็รับในคำแก้ฎีกาแล้ว กรณีจึงไม่ใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์ตามที่จำเลยฎีกา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน