แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เอกสารฉบับพิพาทเป็นเพียงบันทึกที่จำเลยที่ 2 ตกลงค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ให้ไว้แก่โจทก์ว่า หากจำเลยที่ 1 กระทำด้วยประการใด ๆ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมชดใช้ จำเลยที่ 2 ยินยอมชดใช้แทนจนครบ โดยจำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานเป็นเพียงหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 680 วรรคสอง เท่านั้น เมื่อมิใช่เป็นหนังสือ สัญญาค้ำประกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 อันจะถือเป็น ตราสารที่ต้องเสียอากรโดยปิดแสตมป์บริบูรณ์ตามอัตราที่กำหนด ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ตามความมุ่งหมายแห่งประมวลรัษฎากรมาตรา 103,104 และ 118 แม้เอกสารดังกล่าวมิได้ปิดอากรแสตมป์ก็ใช้เป็นพยานหลักฐานได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน3,696,286.11 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดและไม่ยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ เอกสารที่ท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอม ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลแรงงานกลางอนุญาต
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า คำให้การของจำเลยที่ 2 ขัดกันเองว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์หรือไม่ จึงเป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์ตำแหน่งพนักงานเก็บเงิน จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1ต่อโจทก์ว่าหากจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์แล้วไม่ยอมชดใช้ทั้งหมดหรือบางส่วน จำเลยที่ 2 ยอมรับผิดชดใช้แทนโดยครบถ้วนและยอมให้ผ่อนเวลาชำระหนี้แก่จำเลยที่ 1 ด้วย ตามหนังสือค้ำประกันเอกสารหมาย จ.2 ระหว่างจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์นั้นจำเลยที่ 1 ยักยอกเงินตามเช็คซึ่งลูกค้าส่งมอบให้จำเลยที่ 1เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์รวม 3 ฉบับเป็นเงิน 3,696,286.11 บาทไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 1ไม่ชำระเงินดังกล่าวคืนให้โจทก์ จำเลยที่ 2 ต้องชำระแทนพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน 3,696,286.11 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 1,706,070.06 บาทนับแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2537 จากต้นเงิน 1,050,542.05 บาทนับแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2537 และจากต้นเงิน 939,674 บาท นับแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จแต่ดอกเบี้ยรวมกันถึงวันที่ 23 มกราคม 2541 ต้องไม่เกิน 1,116,810.09 บาท
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่าโจทก์อ้างสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.2 เป็นพยาน แต่โจทก์ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้นั้น เห็นว่า หนังสือตามเอกสารหมาย จ.2 เป็นบันทึกซึ่งจำเลยที่ 2 ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ให้ไว้แก่โจทก์โดยจำเลยที่ 2 ตกลงว่า หากจำเลยที่ 1 กระทำด้วยประการใด ๆเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมชดใช้จำเลยที่ 2 ยินยอมชดใช้แทนจนครบ และจำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานด้วยเช่นนี้ เห็นได้ว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเพียงหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680วรรคสอง เท่านั้น มิใช่เป็นหนังสือค้ำประกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 อันจะถือเป็นตราสารที่ต้องเสียอากรโดยปิดแสตมป์บริบูรณ์ตามอัตราที่กำหนดในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ตามความมุ่งหมายแห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 103, 104 และ 118 แต่อย่างใด แม้หนังสือค้ำประกัน เอกสารหมาย จ.2 มิได้ปิดอากรแสตมป์ก็ใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ได้
พิพากษายืน