คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1136/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายกับพวก 4-5 คนกำลังดื่มสุราอยู่ในซอย เห็นจำเลยเดินมาหาว่าจำเลยถอดเสื้ออวดรอยสัก ได้เรียกจำเลยเข้าไปถามและช่วยกันรุมทำร้ายจำเลย จำเลยวิ่งหนี ผู้เสียหายกับพวกได้วิ่งไล่ตาม จำเลยวิ่งหนีมาถึงทางสามแยกหนีต่อไปไม่ทัน จึงได้หันกลับมาและยกปืนขึ้นขู่ผู้เสียหายว่า อย่าเข้ามา ถ้าเข้ามาจะยิง ผู้เสียหายก็ไม่เชื่อ ยังทำท่าจะวิ่งเข้ามาทำร้ายจำเลยอีก จำเลยจึงใช้ปืนยิงผู้เสียหาย เห็นได้ว่าผู้เสียหายเป็นฝ่ายก่อเหตุทำร้ายจำเลยก่อน และจำเลยได้พยายามหลีกเลี่ยงการต่อสู้จนถึงที่สุดแล้ว ขณะเกิดเหตุทางฝ่ายจำเลยก็มีแต่ตัวจำเลยคนเดียว หากผู้เสียหายกับพวกวิ่งเข้ามาถึงตัวอาจทำร้ายจำเลยถึงตายได้ การที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหาย 1 นัดในขณะนั้น จึงเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีและพกพาอาวุธปืนและได้ใช้อาวุธปืนยิงนายวินัย ภู่พันธ์แก้ว ผู้เสียหาย โดยเจตนาฆ่า จำเลยลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล เนื่องจากกระสุนปืนถูกอวัยวะที่ไม่สำคัญและแพทย์ได้รักษาพยาบาลทันท่วงทีนายวินัยจึงไม่ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐ และพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ
จำเลยรับสารภาพข้อหามีและพาอาวุธปืน และรับว่าใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายจริง แต่กระทำไปเพื่อป้องกันตัว
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐ และพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ลดโทษแล้ว คงจำคุกรวม ๘ ปี ๒ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องเฉพาะข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คืนเกิดเหตุจำเลยเดินเข้าซอยต้นนุ่น จะไปที่บ้านมารดาบุญธรรมของจำเลย ผู้เสียหายกับพวก ๔-๕ คนกำลังดื่มสุราอยู่ในซอยเห็นจำเลยเดินมา หาว่าจำเลยถอดเสื้ออวดรอยสัก ได้เรียกจำเลยเข้าไปถามและช่วยกันรุมทำร้ายจำเลย จำเลยวิ่งหนี ผู้เสียหายกับพวกได้วิ่งไล่ตาม จำเลยวิ่งหนีมาถึงทางสามแยกหนีต่อไปไม่ทัน จึงได้หันกลับมาและใช้ปืนยิงผู้เสียหาย ตามคำจำเลยก่อนยิง จำเลยได้ยกปืนขึ้นขู่ผู้เสียหายว่า อย่าเข้ามา ถ้าเข้ามาจะยิง ผู้เสียหายก็ไม่เชื่อ ยังทำท่าจะวิ่งเข้ามาทำร้ายจำเลยอีก เห็นได้ว่าผู้เสียหายเป็นฝ่ายก่อเหตุทำร้ายจำเลยก่อน และจำเลยได้พยายามหลีกเลี่ยงการต่อสู้จนถึงที่สุดแล้ว ขณะเกิดเหตุทางฝ่ายจำเลยก็มีแต่ตัวจำเลยคนเดียว หากผู้เสียหายกับพวกวิ่งเข้ามาถึงตัวอาจทำร้ายจำเลยถึงตายได้ การที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหาย ๑ นัดในขณะนั้น จึงเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ จำเลยไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share