คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5027/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยกับ ว. และ จ. เป็นเจ้าของที่พิพาทร่วมกันโดยไม่ได้แบ่งแยกกันครอบครอง สัญญาซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นการขายตัวทรัพย์จะขายโดยมิได้รับความยินยอมของ ว. และ จ.ผู้เป็นเจ้าของรวมด้วยหาได้ไม่ ฉะนั้น สัญญาซื้อขายที่พิพาทดังกล่าวจึงไม่มีผลใช้บังคับ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแบ่งขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของร่วมกับผู้มีชื่อ เฉพาะส่วนของจำเลยเนื้อที่ 2 ไร่ ให้แก่โจทก์ในราคา 40,000 บาท และตกลงจะไปจดทะเบียนซื้อขายกัน พ้นกำหนดแล้ว จำเลยไม่แบ่งแยกที่ดินจึงจดทะเบียนซื้อขายที่ดินตามสัญญาไม่ได้ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้บังคับจำเลยแบ่งแยกและจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว เฉพาะส่วนของจำเลยเป็นเนื้อที่ 2 ไร่ให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า สัญญาซื้อขายตามฟ้องไม่มีผลบังคับเนื่องจากระบุให้วัดที่ดินจากเขต น.ส.3 ของโจทก์ตรงไปให้ได้เนื้อที่ 2 ไร่ จึงเป็นการขายตัวทรัพย์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากนายวิฑูรย์ และนางจันทนา ผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินกับจำเลย และบุคคลทั้งสองกับจำเลยก็ยังไม่ได้แบ่งแยกการครอบครองที่ดินกันเป็นส่วนสัด ทั้งยังเป็นสัญญาที่โจทก์บังคับให้จำเลยทำขึ้นเพื่อระงับข้อพิพาทที่โจทก์ร้องเรียนกล่าวหาเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดิน จำเลยไม่ได้รับเงินค่าที่ดินและไม่มีเจตนาจะขายที่ดินให้โจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยโอนขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 134 หมู่ที่ 1ตำบลสวนผึ้ง กิ่งอำเภอสวนผึ้งจังหวัดราชบุรี เนื้อที่ 19 ไร่1 งาน 32 ตารางวา เฉพาะส่วนของจำเลยเป็นเนื้อที่ 2 ไร่ ให้แก่โจทก์ หากไม่โอนให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรจะฎีกาได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าสัญญาซื้อขายที่พิพาทตามเอกสารหมาย จ.18 มีผลใช้บังคับได้หรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า จำเลยกับนายวิฑูรย์และนางจันทนาได้แบ่งแยกกันครอบครองที่ดินตามรูปแผนที่สังเขปหมาย จ.5 มาตั้งแต่ปี 2522 กับมีนางอารีย์พันธ์ ครุฑระเบียบเป็นพยานเบิกความประกอบคำเบิกความของโจทก์ในเรื่องการซื้อขายที่พิพาทว่า จำเลยได้ขายที่พิพาทและได้รับเงินค่าที่ดินจากโจทก์แล้วตั้งแต่ปลายปี 2523 เห็นว่า หากที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินส่วนที่จำเลยครอบครองเป็นส่วนสัด โจทก์ก็คงจะเข้าไปครอบครองทำประโยชน์เสียแต่ในปี 2523 ที่ซื้อและชำระราคาเสร็จ แต่โจทก์ก็หาได้กระทำการเช่นนั้นไม่ จำเลยมีตัวจำเลย นายวิฑูรย์และนางจันทนาเป็นพยานเบิกความว่า จำเลยกับนายวิฑูรย์และนางจันทนายังไม่ได้แบ่งแยกกันครอบครองที่ดินซึ่งเป็นเจ้าของรวมนั้น นอกจากนี้ยังได้ความจากจำเลย นายวิฑูรย์และนางจันทนาว่า ในที่ดินพิพาทมีห้องแถวของนายวิฑูรย์และนางจันทนาปลูกอยู่กับใช้ทำตลาดนัดจำเลยและนายวิฑูรย์ให้นางจันทนาปกครองดูแลที่ดิน นางจันทนาเก็บผลประโยชน์แบ่งปันให้จำเลยและนายวิฑูรย์ทั้งยังปรากฏว่าจำเลยกับนายวิฑูรย์และนางจันทนาเคยขอแบ่งแยกที่ดินตามเอกสารหมาย จ.6 และ จ.20 แต่ตกลงกันไม่ได้โดยต่างคนต่างต้องการจะได้ที่ดินด้านตะวันออกซึ่งเป็นส่วนที่ดีที่สุด จึงขอยกเลิกการแบ่งแยกไปทั้งสองครั้ง และนายวิฑูรย์กับนางจันทนาต่างไม่มีใครรู้เรื่องที่จำเลยทำสัญญาขายที่พิพาทให้โจทก์เช่นนี้พยานหลักฐานของจำเลยจึงมีน้ำหนักดีกว่า น่าเชื่อว่าจำเลยกับนายวิฑูรย์และนางจันทนาไม่ได้แบ่งแยกกันครอบครองที่ดิน และนายวิฑูรย์กับนางจันทนามิได้ยินยอมให้จำเลยทำสัญญาขายที่พิพาทแก่โจทก์สัญญาซื้อขายที่พิพาทตามเอกสารหมาย จ.18 เป็นการขายตัวทรัพย์จะขายโดยมิได้รับความยินยอมของนายวิฑูรย์และนางจันทนาผู้เป็นเจ้าของรวมหาได้ไม่ ทั้งนี้ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคสอง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สัญญาซื้อขายที่พิพาทตามเอกสารหมาย จ.18 ไม่มีผลใช้บังคับชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share