แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินของผู้ร้องถูกเวนคืน อนุญาโตตุลาการฝ่ายผู้ร้อง และผู้คัดค้าน กำหนดค่าทดแทนราคาที่ดินซึ่งถูกเวนคืนไม่เท่ากัน ผู้ร้องจึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งประธาน ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วตั้ง อ. เป็นประธานเพื่อชี้ขาดคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการตลอดระยะเวลาที่ทั้งสองฝ่ายตั้งอนุญาโตตุลาการ จนถึงเวลาที่ผู้ร้องร้องขอให้ศาลตั้ง อ. เป็นประธานต่างฝ่ายต่างไม่มีคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น อนุญาโตตุลาการที่ทั้งสองฝ่ายตั้งขึ้นจึงเป็นการตั้งกันเองโดยศาลมิได้รับรู้ มิใช่เป็นการตั้งตามมาตรา 210 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ถือได้ว่าเป็นกรณีที่เสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดนอกศาล แม้ต่อมาศาลชั้นต้นจะได้มีคำสั่งตั้งให้ อ. เป็นประธานเพื่อชี้ขาด ก็ยังถือไม่ได้ว่าไม่เป็นกรณีที่เสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดนอกศาล กรณีเช่นนี้ต้องบังคับตามบทบัญญัติมาตรา 221 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อไม่ปรากฏว่าคู่กรณีฝ่ายใดไม่ยอมปฏิบัติตามคำชี้ขาดของ อ. และอ. มิใช่คู่กรณี อ. จึงไม่มีอำนาจที่จะร้องขอต่อศาลให้มีคำพิพากษาตามคำชี้ขาดของ อ. ได้
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องต่างเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดที่ได้ถูกเวนคืนตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๘๖ กรมชลประทานกำหนดค่าทดแทนให้ไร่ละ ๒,๐๐๐ บาท ผู้ร้องทั้งสี่ไม่ยอมรับ นายมุรธาอนุญาโตตุลาการที่ผู้ร้องตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ชี้ขาดไร่ละ ๖๘,๐๐๐ บาท นายมณฑลอนุญาโตตุลาการที่กรมชลประทานตั้งชี้ขาดไร่ละ ๑๐,๐๐๐ บาท ไม่อาจตกลงกันได้ในเรื่องราคาที่ดินที่เป็นธรรมและในการตั้งผู้ใดเป็นประธานเพื่อชี้ขาด ผู้ร้องจึงขอให้ศาลตั้ง ดร.อุกฤษ เป็นประธานอนุญาโตตุลาการ
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า การกำหนดราคาค่าทดแทนที่ดินของอนุญาโตตุลาการเป็นโมฆะ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานของผู้ร้องฝ่ายเดียวเพราะผู้คัดค้านขาดนัดพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ ดร.อุกฤษเป็นประธานเพื่อชี้ขาดคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในการกำหนดค่าทดแทนที่เป็นธรรม
ต่อมาดร.อุกฤษยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาตามคำชี้ขาดของ ดร. อุกฤษ ซึ่งกำหนดค่าทดแทนให้แก่ผู้ร้องไร่ละ ๖๘,๐๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่าคำชี้ขาดนี้มิได้ขัดต่อกฎหมาย จึงพิพากษาว่าให้ถือราคาค่าทดแทนที่ดินของผู้ร้องไร่ละ ๖๘,๐๐๐ บาท ตามคำชี้ขาด ดร. อุกฤษ ประธานอนุญาโตตุลาการ
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้องของ ดร. อุกฤษ
ผู้ร้องทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่ออนุญาโตตุลาการฝ่ายผู้ร้องและผู้คัดค้านชี้ราคาที่ดินในราคาที่เป็นธรรมไม่เท่ากัน และไม่อาจตกลงกันได้ในเรื่องดังกล่าวกับเรื่องตั้งผู้ใดเป็นประธานเพื่อชี้ขาด ทั้งสองฝ่ายจึงให้ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งประธาน ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งตั้งให้ ดร. อุกฤษ เป็นประธาน คำสั่งของศาลชั้นต้นถึงที่สุดแล้ว ดร.อุกฤษได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาชี้ขาดตามคำชี้ขาดของ ดร. อุกฤษซึ่งกำหนดค่าทดแทนให้แก่ผู้ร้องไร่ละ ๖๘,๐๐๐ บาท และศาลได้พิพากษาตามคำชี้ขาดนั้นแล้ว แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า
เมื่อผู้ร้องและผู้คัดค้านตั้งอนุญาโตตุลาการเพื่อชี้ขาดกำหนดค่าทดแทนการเวนคืนที่ดิน ตลอดมาจนถึงเวลาที่ผู้ร้องขอให้ศาลตั้ง ดร. อุกฤษ เป็นประธานชี้ขาดคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านต่างไม่มีคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นอนุญาโตตุลาการที่ทั้งสองฝ่ายตั้งขึ้นเป็นการตั้งกันเองโดยศาลมิได้รับรู้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งมิใช่เป็นการตั้งตามบทบัญญัติมาตรา ๒๑๐ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงถือได้ว่าเป็นกรณีที่เสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดนอกศาล แม้ว่าต่อมาอนุญาโตตุลาการชี้ขาดราคาที่เป็นธรรมไม่เท่ากันและมีเสียงเท่ากันจนกระทั่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งให้ ดร. อุกฤษเป็นประธาน เพื่อชี้ขาดคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในการกำหนดค่าทดแทนการเวนคืนที่ดิน ก็ยังถือไม่ได้ว่าไม่เป็นกรณีที่เสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดนอกศาล กรณีนี้จึงต้องบังคับตามบทบัญญัติมาตรา ๒๒๑ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตามทางพิจารณาก็ไม่ปรากฏว่าคู่กรณีฝ่ายใดไม่ยอมปฏิบัติตามคำชี้ขาดของ ดร. อุกฤษ และ ดร. อุกฤษมิใช่คู่กรณีจึงไม่มีอำนาจที่จะยื่นคำร้องขอต่อศาลได้
พิพากษายืน