แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ส. เป็นพนักงานของโจทก์ที่จะต้องประกอบการงานให้แก่โจทก์เป็นประจำ ช. เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขับรถยนต์บรรทุกที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 3 ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ที่ ส. ขับ ทำให้ส. ได้รับบาดเจ็บ ต้องพักรักษาตัวไม่สามารถไปประกอบหน้าที่การงานให้แก่โจทก์ได้ตามปกติ การกระทำละเมิดของ ช. เป็นเหตุให้โจทก์ขาดประโยชน์จากแรงงานของ ส. ทั้ง ๆ ที่โจทก์มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินเดือนให้แก่ ส. ในระหว่างนั้น โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายชอบจะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสามตาม ป.พ.พ. มาตรา 445,425,887 จำเลยที่ 3 รับประกันภัยประเภทรับผิดต่อบุคคลภายนอก จึงเป็นการประกันภัยค้ำจุน เมื่อโจทก์เป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากรถยนต์ที่จำเลยที่ 3 รับประกันภัยไว้ โจทก์ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 3 โดยตรง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 887วรรค 1,2 ทั้งนี้แม้จำเลยที่ 3 จะได้จ่ายค่าขาดประโยชน์แรงงานให้แก่ ส.ไปแล้วและส. มีสิทธิลาป่วยในระหว่างพักรักษาตัวก็ตาม เหตุละเมิดเกิดที่จังหวัดนครสวรรค์เมื่อเวลา 20 นาฬิกาเศษของวันศุกร์ ที่ 22 กรกฎาคม 2526 ซึ่งเป็นช่วงเวลานอกราชการ ทั้งส. พนักงานของโจทก์ก็ได้รับบาดเจ็บต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลไม่สามารถไปรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในวันเกิดเหตุ โจทก์ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่กรุงเทพมหานครไม่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวจำเลยที่ 2 ผู้ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในวันเกิดเหตุโจทก์จะรู้อย่างเร็วที่สุดก็ในวันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม 2526ซึ่งเป็นวันเปิดทำการ และนำคดีมาฟ้องวันที่ 23 กรกฎาคม 2527 ยังไม่พ้นหนึ่งปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 448.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล นายอัชอรุณลักษณ์ เป็นผู้ว่าการมีอำนาจกระทำการในนามโจทก์ ขณะเกิดเหตุนายสมัย รักจำรูญ เป็นลูกจ่างของโจทก์ทำหน้าที่หัวหน้าหมวดรักษาความสะอาด แผนกดูแลอาคารและสถานที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในรถยนต์บรรทุกเลขทะเบียน 80-5023 เพชรบูรณ์และเป็นนายจ้างของนายชลอหรือแจ้ว อบสินธุ์ จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด และเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวไว้ เมื่อวันที่ 22 กรกฏาคม 2526 เวลาประมาณ 20.40 นาฬิกานายสมัย รักจำรูญ ขับรถยนต์เก๋งเลขทะเบียน 2 ก-0136 กรุงเทพมหานครจากจังหวัดนครสวรรค์มุ่งหน้าไปจังหวัดพิษณุโลกมาถึงสี่แยกบ้านแก่งตำบลนครสวรรค์ตก อำเภอเมืองนครสวรรค์ ในเวลาเดียวกันนั้นนายชลอได้ขับรถยนต์บบทุกฮีโน่ เลขทะเบียน 80-5023 เพชรบูรณ์ ด้วยความประมาทเลินเล่อมาตามทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2 แล่นสวนทางมาด้วยความเร็วสูงแล้วเลี้ยวขวาตัดหน้ารถยนต์เก๋งที่นายสมัยขับนายสมัยได้รับอันตรายสาหัส กระดูกไหปลาร้าหัก กระดูกฐานกระโหลกศีรษะร้าว จมูกฉีก เลือดคั่งในปอด ต้องรักษาตัวเป็นเวลา 1 เดือน2 วัน ไม่สามารถมาทำงานให้กับโจทก์ได้ โจทก์ได้จ่ายเงินเดือนให้นายสมัยระหว่างเวลาดังกล่าวไปรวมเป็นเงิน 8,055 บาท โดยไม่ได้รับประโยชน์ตอบแทนจากแรงงานของนายสมัยตามปกติ โจทก์จึงทวงถามค่าเสียหายดังกล่าวจากจำเลยทั้งสาม แต่จำเลยทั้งสามไม่ชำระโจทก์ขอคิดดอกเบี้ยกับจำเลยทั้งสามในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเวลา 1 ปี เป็นดอกเบี้ย604.12 บาท ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินให้แก่โจทก์ 8,659.12บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า นายสมัย รักจำรูญ ไม่ใช่ลูกจ้างโจทก์ และนายชลอ อบสินธุ์ ไม่ใช้ลูกจ้างที่ปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืนและฝนตกหนักรถยนต์บรรทุกเลขทะเบียน 80-5023 เพชรบูรณ์ แล่นมาตามถนนสายเอเซียได้ชะลอความเร็วแล้วเลี้ยวขวาที่สี่แยกบ้านแก่งเกือบพ้นขอบถนนดังกล่าวแล้ว แต่นายสมัยซึ่งขับรถสวนทางมามิได้ใช้ความระมัดระวังชะลอความเร็วลงขณะถึงทางร่วมทางแยกเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นซึ่งเป็นความประมาทของนายสมัยด้วย จำเลยที่ 3 ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวมถึงค่าขาดประโยชน์ ขาดรายได้อื่น ๆ ให้แก่นายสมัยไปแล้วเป็นเงิน 67,000 บาท การที่โจทก์จ่ายค่าแรงงานให้นายสมัยเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ และเต็มใจจ่ายตามอำเภอใจเพราะทราบว่าจำเลยได้จ่ายค่าขาดแรงให้นายสมัยแล้ว ทั้งตามปกตินายสมัยก็มีสิทธิลาป่วยโดยโจทก์ต้องจ่ายเงินเดือนให้ตามปกติกรธรรม์ประกันภัยของจำเลยที่ 3 คุ้มครองเฉพาะตัวผู้เสียหายโดยตรงเท่านั้น ไม่มีผลรวมไปถึงนายจ้างของผู้เสียหายในการเรียกค่าเสียหายจากการขาดแรงงาน ค่าขาดแรงงานที่โจทก์ฟ้องเรียกมาสูงเกินไป เหตุคดีนี้เกิดเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2526 แต่โจทก์ยื่นฟ้องวันที่23 กรกฎาคม 2527 ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้อุทธรณ์ฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย การวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า การไฟฟ้านครหลวงโจทก์เป็นนิติบุคคล นายสมัย รักจำรูญเป็นลูกจ้างโจทก์ ตำแหน่งหัวหน้าหมวดรักษาความสะอาดมีหน้าที่ดูแลอาคารสถานที่ของโจทก์ ปัญหาตามฎีกาของโจทก์มีว่า ในกรณีที่นายชลอหรือแจ้ว อบสินธุ์ ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขับรถยนต์บรรทุกที่จำเลยที่ 3 รับประกันภัยในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2โดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ที่นายสมัยขับ เป็นเหตุให้นายสมัยได้รับบาดเจ็บต้องพักรักษาตัว ไม่สามารถประกอบหน้าที่การงานให้โจทก์ได้ตามปกติ และโจทก์ต้องจ่ายเงินเดือนให้แก่นายสมัยตามสัญญาจ้างในระหว่างที่นายสมัยพักรักษาตัว โดยโจทก์ไม่ได้รับการปฏิบัติงานตอบแทนจากนายสมัยในระหว่างนั้น ในกรณีเช่นนี้จำเลยทั้งสามจะตัองร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับเงินเดือนที่โจทก์จ่ายให้นายสมัยให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่านายสมัยเป็นพนักงานของโจทก์ที่จะต้องประกอบการงานให้แก่โจทก์เป็นประจำ ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายชลอเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขับรถยนต์บรรทุกที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 3 ในทางการที่จ้างของ จำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยประมาทเลินเล่อไปชนรถยนต์ที่นายสมัยขับทำให้นายสมัยได้รับบาดเจ็บต้องพักรักษาตัวไม่สามารถไปประกอบหน้าที่การงานให้โจทก์ได้ตามปกติการกระทำละเมิดของนายชลอดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์ขาดประโยชน์จากแรงงานของนายสมัย ทั้ง ๆ ที่โจทก์มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินเดือนให้แก่นายสมัยในระหว่างนั้น โจทก์ย่อมได้รับความเสียหาย ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้จากจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 445 ประกอบด้วยมาตรา 425 และมาตรา 887 สำหรับประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยมีดังนี้ 1. นายชลอหรือแจ้ว อบสินธุ์ เป็นลูกจ้างที่ปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 หรือไม่ 2. นายชลอขับรถยนต์บรรทุกโดยประมาทเลินเล่อหรือไม่เพียงใด 3. การที่จำเลยที่ 3 จ่ายค่าขาดประโยชน์แรงงานให้แก่นายสมัยไปแล้ว กับระหว่างที่นายสมัยพักรักษาตัวเนื่องจากถูกรถชนนายสมัยมีสิทธิลาป่วยได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์จากแรงงานจากจำเลยที่ 2 อีกได้หรือไม่ 4.ค่าขาดประโยชน์จากแรงงานที่โจทก์จ่ายให้แก่นายสมัยเป็นจำนวนเท่าใด5. กรมธรรม์ประกันภัยของจำเลยที่ 3 ที่คุ้มครองความเสียหายของบุคคลภายนอก หมายถึงเฉพาะตัวผู้เสียหายหรือคุ้มครองเลยไปถึงนายจ้างของผู้เสียหายด้วย และ 6. คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ขาดอายุความหรือไม่ซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาเหล่านี้ไปที่เดียวโดยไม่ต้องย้อนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยใหม่ ในประเด็นข้อ 1 โจทก์มีนายสมัยรักจำรูญ เบิกความว่า จำเลยที่ 2 เจ้าของรถยนต์บรรทุกคันที่เกิดเหตุมาเจรจาตกลงกับพยาน และบอกด้วยว่าระหว่างเกิดเหตุรถคันนี้กลับจากส่งหินส่งทรายจะไปนครสวรรค์ จำเลยที่ 2 ยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ตามเอกสารหมาย จ. 6 ตามเอกสารดังกล่าวพนักงานสอบสวนได้บันทึกตกลงเรื่องค่าเสียหาย โดยจำเลยที่ 2 ยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้ฝ่ายผู้เสียหาย เนื่องจากนายชลอขับรถยนต์บรรทุกโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถยนต์ของผู้อื่นเสียหายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ฝ่ายจำเลยที่ 2 และที่ 3ไม่นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่านายชลอหรือแจ้ว อบสินธุ์ เป็นลูกจ้างที่ปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ประเด็นข้อ 2 นายสมัยเลยเบิกความเป็นใจความว่า ในวันเกิดเหตุพยานขับรถยนต์เก๋งจากกรุงเทพมหานคร ไปตามถนนตัดใหม่สายนครสวรรค์-พิษณุโลก เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นทางสี่แยก นายชลอขับรถยนต์บรรทุกสวนทางมา แล้วเลี้ยวขวาพุ่งเข้าชนรถของพยานจำเลยที่ 2 และที่3 ไม่นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อดังที่นายสมัย เบิกความ การที่นายชลอขับรถยนต์บรรทุกมาถึงสี่แยกโดยไม่รอให้ที่แล่นสวนมาผ่านพ้นไปก่อนแล้วจึงค่อยนำรถเลี้ยวเข้าสู่ทางแยกแต่นำรถเลี้ยวขวาไปทันที เป็นเหตุให้ชนกับรถยนต์ของนายสมัยที่แล่นสวนทางมา การกระทำของนายชลอจึงเป็นการประมาทเลินเล่อแต่ผู้เดียวประเด็นข้อ 3 ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะได้ความว่าจำเลยที่ 3 จ่ายค่าขาดประโยชน์แรงงานให้แก่นายสมัยไปแล้วและระหว่างที่นายสมัยพักรักษาตัวเนื่องจากถูกรถชนนายสมัยมีสิทธิลาป่วยได้ก็ตาม แต่ก็ไม่ตัดสิทธิโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างนายสมัยที่จะฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์จากแรงงานจากจำเลยที่ 2 และที่ 3 อีกประเด็นข้อ 4 นายวิลาศ คมกฤต รองหัวหน้าแผนกประวัติและสถิติของพนักงาน กององค์การและผลประโยชน์ตอบแทนของโจทก์เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุนายสมัยได้รับเงินเดือน 7,345 บาท ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ. 8 นายสมัยเบิกความว่า พยานรักษาตัวที่โรงพยาบาลและที่บ้านตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม 2526 ถึงวันที่ 24 สิงหาคม 2526รวม 1 เดือน 2 วัน ระหว่างนั้นโจทก์ได้จ่ายเงินเดือนให้พยานจำนวน8,055 บาท จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่นำสืบหักล้าง น่าเชื่อว่านายสมัยต้องพักรักษาตัวตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม ถึงวันที่ 24 สิงหาคม2526 และในช่วงเวลาดังกล่าวโจทก์ได้จ่ายเงินเดือนให้นายสมัยจำนวน8,055 บาท เพราะฉะนั้นโจทก์ต้องขาดแรงงานจากนายสมัยไปคิดเป็นเงิน8,055 บาท ประเด็นข้อ 5 คู่ความรับกันว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 คันที่เกิดเหตุ ตามสำเนากรมธรรม์เอกสารหมาย จ. 9 ซึ่งนายเอกชัย ยิ้มพัฒน์ พยายจำเลยที่ 3เบิกความว่า เป็นการรับประกันภัยประเภทรับผิดต่อบุคคลภายนอก จึงเป็นการประกันภัยค้ำจุน เมื่อได้ความว่าโจทก์เป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากรถยนต์บรรทุกที่จำเลยที่ 3 รับประกันภัยไว้ โจทก์ก็ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนตามที่ตนควรจะได้นั้นจากจำเลยที่ 3โดยตรง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 วรรค 1 และวรรค 2ส่วนประเด็นข้อสุดท้ายตามทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏชัดแจ้งว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวผู้จะต้องพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อใดจำเลยที่ 2 เองก็ไม่นำสืบ แต่อย่างไรก็ดีปรากฏจากคำเบิกความของนายสมัยว่าเกิดเหตุเวลา 20 นาฬิกาเศษ ของวันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม2526 ซึ่งเป็นช่วงนอกเวลาราชการ ที่ตำบลบ้านแก่ง (ที่ถูกเป็นสี่แยกบ้านแก่ง ตำบลนครสวรรค์ตก) อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์นายสมัยได้รับบาดเจ็บกระดูกไหปลาร้าหัก ฐานกะโหลกศีรษะบริเวณกกหูซ้ายร้าว กับมีบาดแผลที่ใบหน้าและร่ายกายต้องไปรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดนครสวรรค์ คงไม่สามารถไปรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ผู้บังคับบัญชาทราบได้ทันในวันนั้น จึงเชื่อว่าโจทก์ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในกรุงเทพมหานคร คงไม่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวจำเลยที่ 2ผู้จะพึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในวันนั้น อย่างเร็วที่สุดโจทก์จะรู้ในวันที่เปิดทำการคือวันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม 2526 โจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่ 23 กรกฎาคม 2527 ยังไม่พ้นหนึ่งปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวว่าจำเลยที่ 2 ผู้จะพึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 สำหรับคดีที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 นั้น ปรากฏตามสำเนาหนังสือแสดงการจดทะเบียนเอกสารหมาย จ. 4 ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ประกอบการขนส่งรถยนต์บรรทุกเลขทะเบียน 80-5023 เพชรบูรณ์ และศาลได้วินิจฉัยไว้แล้วว่านายชลอเป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2กระทำกิจการแสงหาผลประโยชน์ร่วมกันจากรถยนต์บรรทุกนั้น จำเลยที่ 1จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ตามจำนวนเงินดังได้วินิจฉัยมาแล้ว อนึ่งที่โจทก์ฟ้องโดยคิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสามนับแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเวลา 1 ปี ด้วยนั้น โจทก์มิใช่ผู้ต้องเสียหายโดยตรง แต่เป็นเพียงนายจ้างที่ต้องขาดแรงงานไปเท่านั้น จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดนัดนับแต่เวลาที่ทำละเมิด และทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏว่า จำเลยทั้งสามผิดนัดตั้งแต่เมื่อใดโจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยก่อนฟ้องคดี”
พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 8,055 บาทให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของจำนวนเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ.