แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยลงชื่อเป็นผู้ประกอบการขนส่งรถยนต์คันเกิดเหตุแทน ธ.โดยได้ผลประโยชน์ตอบแทน ดังนั้น เมื่อ ป. ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยขับรถยนต์คันดังกล่าวในทางการที่จ้างของจำเลยชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยย่อมต้องรับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งการทำละเมิดนั้นด้วย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 80-2492 สระบุรี จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 80-2147 ร้อยเอ็ด และได้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปเข้าร่วมกิจการกับจำเลยที่ 2 ซึ่งได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบการขนส่ง โดยจำเลยทั้งสี่มีผลประโยชน์ร่วมกันวันเกิดเหตุนายประจักษ์ ลูกจ้างของจำเลยทั้งสี่ได้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 80-2147 ร้อยเอ็ด ไปในทางการที่จ้างของจำเลยทั้งสี่ด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าเสียหาย พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ให้การปฎิเสธความรับผิด
จำเลยที่ 2 ให้การว่านายประจักษ์ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 เหตุที่รถยนต์ชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของผู้ขับรถยนต์คันของโจทก์ จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ส่วนฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4ให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ตามเนื้อความในฎีกาของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 คงฎีกาเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างนายประจักษ์กับจำเลยที่ 2เท่านั้น ส่วนในเรื่องการทำละเมิดของนายประจักษ์ จำเลยที่ 2 หาได้ฎีกาโต้แย้งแต่อย่างใดไม่ ศาลฎีกาจึงไม่ต้องวินิจฉัยให้ สำหรับปัญหาว่านายประจักษ์เป็นลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2หรือไม่ ปัญหาข้อนี้โจทก์นำสืบรับฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2มีชื่อเป็นผู้ประกอบการขนส่งผู้มีสิทธิครอบครองและใช้รถยนต์คันดังกล่าวซึ่งมีนายประจักษ์เป็นผู้ขับ จำเลยที่ 2 กล่าวอ้างลอย ๆว่านายประจักษ์ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และนำสืบแต่เพียงว่าที่จำเลยที่ 2 มีชื่อเป็นผู้ประกอบการขนส่ง ผู้มีสิทธิครอบครองและใช้รถยนต์คันดังกล่าวก็เพราะจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นน้องของจำเลยที่ 2ขอร้องให้ลงชื่อแทนนายธำรง กนกนภากุล ผู้เช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 โดยไม่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนโดยจำเลยที่ 2 ไม่รู้จักนายธำรงนั้น เห็นว่าการที่จำเลยที่ 2 ไม่รู้จักกับนายธำรงแต่ยอมลงชื่อเป็นผู้ประกอบการขนส่งแทนนายธำรงเช่นนั้น จำเลยที่ 2 เป็นผู้ประกอบการขนส่งควรรู้ว่าถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นตนจะต้องรับผิดร่วมกับนายธำรงด้วย แต่จำเลยที่ 2 ก็ยังยอมเป็นผู้ประกอบการขนส่งแทนนายธำรง แสดงว่าจำเลยที่ 2 ต้องได้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการลงชื่อเป็นผู้ประกอบการขนส่งแทนนายธำรง นอกจากนี้ยังปรากฎตามสำนวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนโดยนายเทอดไทยบิดาของนายประจักษ์ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่านายประจักษ์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 เป็นเวลานานถึง 4 ปี ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่านายประจักษ์คนขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 80-2147 ร้อยเอ็ด เป็นลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วย จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในผลการทำละเมิดของนายประจักษ์ที่ได้กระทำต่อโจทก์”
พิพากษายืน.