คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 50/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบังคับคดีไว้แล้ว เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นได้แต่จะขอเข้าเฉลี่ยในทรัพย์นั้นหรือเงินที่ขายหรือจำหน่ายได้เท่านั้น จะยึดทรัพย์นั้นซ้ำอีกไม่ได้ ฉะนั้นหากมีการยึดทรัพย์ซ้ำกับเจ้าหนี้ตามคำพิพากษารายแรก และปรากฏว่าผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดซ้ำรายหลังนี้ การซื้อขายอันเป็นผลมาจากการยึดที่ต้องห้ามตามกฎหมายนี้ย่อมไม่ชอบด้วยเช่นกัน และกรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 296 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ผู้ร้องจึงจะร้องให้ปล่อยทรัพย์ที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดไว้ก่อนไม่ได้

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์รายการอันดับ ๑ ตามประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดีศาลจังหวัดขอนแก่นขายทอดตลาดทรัพย์ของนายคำมีจำเลยผู้แพ้คดีนั้น เป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินในคดีแพ่งแดงที่ ๑๖๓/๒๕๑๐ ระหว่างนายสื่อ โจทก์นายคำมี จำเลยผู้แพ้คดี ซึ่งผู้ร้องได้เข้าประมูลซื้อไว้ในราคา ๗,๐๐๐ บาท จากการประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีศาลจังหวัดขอนแก่นและทางพนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมภายหลังที่ได้ออกประกาศตามระเบียบและไม่มีผู้ใดคัดค้าน ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้เป็นของผู้ร้องแล้ว ที่ดินพิพาทนี้จึงมิใช่ทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะนำออกขายได้อีก การยึดทรัพย์ในคดีแพ่งแดงที่ ๑๖๓/๒๕๑๐ จะฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือไม่ ผู้ร้องไม่อาจทราบได้ และโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือจำเลยหรือผู้มีส่วนได้เสียตามมาตรา ๒๙๖ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หาได้โต้แย้งแต่อย่างใดไม่ จึงไม่มีสิทธิขอให้ขายหรือเพิกถอนเปลี่ยนแปลงการบังคับคดีที่เสร็จสิ้นไปแล้วนั้นได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งงดการขายทอดตลาด และปล่อยที่ดินพิพาทที่ถูกนำยึดนี้
โจทก์ยื่นคำให้การว่า ผู้ร้องจะได้ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคดีแพ่งแดงที่ ๑๖๓/๒๕๑๐ หรือไม่ โจทก์ไม่ทราบ ทรัพย์พิพาทนี้โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดและได้ประกาศขายทอดตลาดตั้งแต่วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๐๘ ในนัดวันที่ ๗ กรกฎาคม ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดในราคา ๑๙,๐๐๐ บาท แต่ศาลไม่อนุมัติการขาย ทรัพย์พิพาทจึงยังอยู่ระหว่างการยึดของเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อรอกการขายทอดตลาดต่อไป หากผู้ร้องได้ซื้อทรัพย์พิพาทจากการขายทอดตลาดในคดีแพ่งแดงที่ ๑๖๓/๒๕๑๐ จริง การซื้อขายก็ตกเป็นโมฆะ เพราะเป็นการยึดซ้ำ อันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๐ ผู้ร้องเป็นบุตรของโจทก์ในคดีดังกล่าวและทราบดีว่าโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ก่อนแล้ว แต่โดยเจตนาทุจริตเอาเปรียบโจทก์ จึงสมคบกันนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดและขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทในราคาเพียง ๗,๐๐๐ บาท อันเป็นราคาต่ำมาก
ศาลชั้นต้นเห็นว่า การยึดทรัพย์พิพาทในคดีแพ่งแดงที่ ๑๖๓/๒๕๑๐ เป็นการยึดซ้ำอันฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๐ ซึ่งบัญญัติไว้ว่าทรัพย์ของลูกหนี้ผู้แพ้คดีจะถูกยึดได้ครั้งเดียว ผู้ชนะคดีภายหลังได้แต่จะขอเข้าเฉลี่ยจากการจำหน่ายทรัพย์ที่ถูกยึดครั้งเท่านั้น ฉะนั้น แม้จะฟังว่า ผู้ร้องซื้อทรัพย์โดยสุจริตในการขายทอดตลาดได้ก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายก่อนผู้ร้อง จะทำให้โจทก์เสียสิทธิไม่ได้ พิพากษายกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ที่ดินพิพาทตามคำร้องขัดทรัพย์นี้ได้ถูกเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ก่อนแล้วในคดีแพ่งแดงที่ ๒๑๙/๒๕๐๗ ตั้งแต่วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๐๘ และต่อมาจึงมีการยึดที่ดินพิพาทซ้ำอีกในคดีแพ่งแดงที่ ๑๖๓/๒๕๑๐ และผู้ร้องขัดทรัพย์ซึ่งเป็นบุตรนายสื่อโจทก์ในคดีหลังนี้ เป็นผู้ประมูลซื้อได้จากการขายทอดตลาดที่ศาลจังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๑๐ ในราคา ๗,๐๐๐ บาท
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ดินพิพาทได้ถูกเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ก่อนแล้วตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ ๒๑๙/๒๕๐๗ และยังมิได้ขาย ทั้งโจทก์ในคดีแรกก็ยังมิได้ขอให้ถอนการยึด การยึดในคดีแรกจึงยังมีผลสมบูรณ์อยู่ โจทก์ในคดีแพ่งแดงที่ ๑๖๓/๒๕๑๐ จะนำยึดที่พิพาทซ้ำอีกหาได้ไม่ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๐ โจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีหลังคงมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีเพื่อมีคำสั่งให้ตนเข้าเฉลี่ยในที่ดินพิพาทเมื่อขายแล้วเท่านั้น แม้จะมีการยึดก็เป็นการยึดซ้ำและเป็นการยึดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การขายทอดตลาดที่ดินพิพาทซึ่งดำเนินต่อมาภายหลังก็เป็นการไม่ชอบเช่นเดียวกัน และกรณีไม่ต้องด้วย มาตรา ๒๙๖ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ดังที่ผู้ร้องอ้าง ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิจะมาร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาทรายนี้ได้
พิพากษายืน

Share