คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำว่า “ถ้าเจ้าของที่ดินประกอบการกสิกรรมด้วยตนเอง” ตามพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 มาตรา 7 นั้น มุ่งประสงค์ยกเว้นให้แก่ผู้ที่ประกอบการกสิกรรมด้วยตนเองจริงๆ แม้ลงมือทำด้วยตนเองไม่ไหวต้องจ้างคนอื่นมาช่วยทำบ้าง ก็ต้องอยู่ในความดูแลโดยใกล้ชิดของตนเอง และเสี่ยงต่อการขาดทุน
กรณีที่เจ้าของที่ดินมิได้มีอาชีพในการทำนาโดยตรง และมีภูมิลำเนาอยู่คนละจังหวัดกับที่ดิน ได้มอบให้ผู้อื่นปกครองดูแลแทน ผู้ปกครองดูแลแทนทำสัญญาจ้างบุคคลอื่นทำนาของโจทก์อีกต่อหนึ่ง ดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าเจ้าของที่ดินประกอบการกสิกรรมด้วยตนเอง

ย่อยาว

คดีทั้ง ๓ สำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โจทก์แต่ละสำนวนฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่นาคนละแปลง เนื้อที่ ๑๕๐ ไร่ ๑ เศษ ๕/๑๐ วา ๑๖๒ ไร่ ๔๖ เศษ ๙/๑๐ วา ๑๗๔ ไร่ ๒ งาน ๑๓ เศษ ๙/๑๐ วา ตามลำดับ โจทก์มอบให้นางสาวแย้ม จงรักเจ้า เป็นผู้ครอบครองดูแลจัดการทำผลประโยชน์ และติดต่อกับทางราชการแทนด้วยการว่างจ้างให้คนรับจ้างทำนาให้โจทก์บ้าง ให้เช่าทำนาบ้าง
จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่ประเมินภาษี เรียกเก็บเงินภาษีบำรุงท้องที่ที่ดิน จำเลยที่ ๒ มีหน้าที่รับคำอุทธรณ์คำสั่งที่สั่งให้เจ้าของที่ดินเสียภาษีบำรุงท้องที่ไม่ถูกต้อง จำเลยที่ ๑ ประเมินภาษีสำหรับในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ในที่ดินนาของโจทก์เกินไป ต่อมา พ.ศ. ๒๕๑๐ โจทก์จ้างบุคคลหลายคน ทำนา พอถึงต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๑ จำเลยที่ ๑ ได้ประเมินภาษีที่ดินนาของโจทก์ตามอัตราเดิม ซ้ำยังมีคำสั่งให้เสียภาษีที่ดินควบรวม ๒ ปี คือ สำหรับ พ.ศ. ๒๕๑๐ และ พ.ศ. ๒๕๑๑ โจทก์อุทธรณ์คำสั่งไปยังจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ มีคำสั่งยกอุทธรณ์ของโจทก์ จึงขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ให้โจทก์เสียภาษีบำรุงท้องที่ปีละ ๔,๐๘๗.๕๐ บาท ๔,๔๑๕ บาท และ ๔,๗๔๒.๒๙ บาท แล้วเรียกเก็บในอัตราปีละ ๗๕ บาท ๘๑ บาท และ ๘๖.๗๑ บาท ตามลำดับสำนวน และให้จำเลยที่ ๑ คืนค่าภาษีที่เรียกเก็บเกินไปในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๙ โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่เอง เจ้าพนักงานของจำเลยได้ประเมินภาษีไปตามหลักเกณฑ์และอัตราซึ่งคณะกรรมการตีราคาปานกลางที่ดินในเขตเทศบาลกำหนดไว้ โจทก์ไม่ได้คัดค้าน และนำเงินมาชำระแล้ว โจทก์เพิ่งนำคดีมาฟ้องโดยมิได้ยื่นอุทธรณ์ต่อจำเลย ที่ ๒ จึงขาดอายุความ สำหรับค่าภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. ๒๕๑๐ และ พ.ศ.๒๕๑๑ โจทก์ว่าได้จ้างให้ผู้อื่นทำนาและผู้แทนของโจทก์เป็นผู้ควบคุม ถือว่าโจทก์ทำเองซึ่งไม่ถูกต้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ประเมินค่าภาษีบำรุงท้องที่พิพาทมาหลายเดือนแล้ว โจทก์เพิ่งยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๑๑ เป็นเวลาเกิน ๑ เดือน ขาดอายุความอุทธรณ์ คำอุทธรณ์ของโจทก์ว่าใน พ.ศ. ๒๕๐๙ ที่พิพาทได้ให้ผู้อื่นเช่า จึงไม่ได้อุทธรณ์เกี่ยวกับการประเมินว่าที่พิพาทของโจทก์ติดอยู่ในเขตเทศบาลเพียงครึ่งเดียว ซึ่งไม่เป็นความจริง โจทก์อุทธรณ์เพียงว่า ได้เปลี่ยนแปลงที่พิพาทจากการให้ผู้อื่นเช่า เป็นว่า ในพ.ศ.๒๕๑๐ และพ.ศ.๒๕๑๑ ได้ว่าจ้างผู้อื่นทำ ถือว่าเป็นการทำเอง ขอลดภาษี จำเลยที่ ๒ เห็นว่า ไม่ได้ทำเอง จึงสั่งยกอุทธรณ์ของจำเลย
วันชี้สองสถาน โจทก์ทั้ง ๓ สำนวนแถลงว่าไม่ติดใจโต้แย้งเกี่ยวกับภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ขอให้พิจารณาเฉพาะเงินภาษีบำรุงท้องที่ปี พ.ศ.๒๕๑๐ และ พ.ศ.๒๕๑๑ เท่านั้น และคู่ความแถลงรับกันอีกว่า โจทก์ทั้ง ๓ สำนวนมอบหมายให้นางสาวแย้ม จงรักเจ้า จัดการจ้างคนให้ทำนา โดยทำสัญญาจ้างแรงงานไว้ แล้วคู่ความตกลงกันขอให้ศาลชี้ขาดว่า ตามข้อเท็จจริงที่รับกันดังกล่าว ถือได้หรือไม่ว่าโจทก์ทำนาเอง หากฟังได้ว่าโจทก์ทำนาเอง จำเลยยอมให้โจทก์เสียภาษีบำรุงท้องที่ในอัตราไร่ละ ๕ บาท หากถือไม่ได้ว่าโจทก์ทำนาเอง โจทก์ยอมเสียภาษีบำรุงท้องที่ในเขตเทศบาลในอัตราไร่ละ ๒๕ บาท ตามอัตราที่จำเลยแจ้งประเมินแล้วคู่ความไม่ติดใจสืบพยานต่อไป
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์จ้างให้ผู้อื่นทำนาให้โจทก์ โดยโจทก์รับเอาผลที่ได้เป็นของโจทก์เอง และโจทก์คิดค่าจ้างให้แก่ผู้รับจ้าง เช่นนี้ ถือได้ว่าโจทก์ประกอบการกสิกรรมด้วยตนอง จึงพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิที่จะเสียภาษีบำรุงท้องที่ให้แก่จำเลยเพียงไร่ละ ๕ บาท ตามที่ท้ากัน
จำเลยทั้ง ๓ สำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์มิได้ประกอบการกสิกรรมด้วยตนเองพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสามสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า พระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. ๒๕๐๙ มาตรา ๗ ได้กำหนดอัตราภาษีไว้ตายตัวตามส่วนของราคาปานกลางของที่ดิน แต่มีข้อยกเว้นไว้ในช่องหมายเหตุของบัญชีอัตราภาษีบำรุงท้องที่ท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวว่า ถ้าเจ้าของที่ดินประกอบการกสิกรรมประเภทไม้ล้มลุกนั้นด้วยตนเอง ก็ให้เสียภาษีอย่างสูงไม่เกินไร่ละ ๕ บาท ศาลฎีกาเห็นว่า กฎหมายนี้มีเจตนารมณ์เพื่อช่วยเหลือชาวไร่ชาวนาที่ประกอบการทำไร่ทำนาด้วยตนเอง จึงต้องแปลคำ “ประกอบการด้วยตนเอง” ซึ่งเป็นข้อยกเว้นโดยเคร่งครัดว่ามุ่งประสงค์ยกเว้นให้แก่ผู้ที่ต้องประกอบการด้วยตนเองจริงๆ แม้ลงมือทำนาด้วยตนเองไม่ไหวเพราะชราภาพหรือสุขภาพไม่อำนวย ต้องจ้างวานคนอื่นมาช่วยทำบ้าง แต่ก็ต้องอยู่ในความดูแลโดยใกล้ชิดของตนเอง และเสี่ยงต่อการขาดทุนในเมื่อมีเหตุทำให้การกสิกรรมนั้นไม่ได้ผล แต่กรณีของโจทก์นี้ โจทก์มิได้มีอาชีพในการทำนาโดยตรง และมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดพระนคร ห่างไกลกับนาของโจทก์ซึ่งอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช โจทก์มอบให้นางสาวแย้ม จงรักเจ้า ปกครองดูแลและจัดหาประโยชน์แทนโจทก์ แล้วสาวแย้ม จงรักเจ้า ได้ทำสัญญาจ้างบุคคลอื่นให้ทำนาของโจทก์อีกต่อหนึ่ง พิเคราะห์สัญญาจ้างแรงงานที่โจทก์ส่งสำนาไว้ท้ายคำร้องเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์แล้ว มีข้อความทำนองเดียวกันว่า ผู้รับจ้างจะต้องทำงานตั้งแต่ปราบที่ ไถหว่าน ตลอดจนเก็บเกี่ยว ผูกมัด เลียง ขน เข้าเก็บในยุ้งฉางของผู้ว่าจ้าง โดยใช้ลูกมือและเครื่องมือเครื่องใช้ของผู้รับจ้างเองทั้งสิ้นยิ่งกว่านั้น ค่าจ้างผู้ว่าจ้างยังคิดให้ตามส่วนของข้าวที่ได้แสดงว่าโจทก์มีทางได้อย่างเดียว โดยได้มากหรือน้อยเท่านั้น ไม่ต้องเสี่ยงต่อการขาดทุนเอง พฤติการณ์ของโจทก์ดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ประกอบกสิกรรมทำนาด้ยตนเอง ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share