คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4991/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ตามหนังสือสัญญาซื้อขาย สัญญาข้อ 3 ระบุว่า น. ผู้ขายยอมให้ทางต่อเมื่อที่ดินส่วนอื่นได้ขายให้คนอื่น น. ได้ยินยอมจะให้ทางเดินกว้าง 2 เมตร ความยาวจนถึงถนนใหญ่ไม่ว่ากรณีใด ๆ เห็นได้ว่าข้อตกลงดังกล่าวเกิดจากการที่โจทก์ซื้อที่ดินจาก น. ซึ่งแบ่งขายที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินให้แก่โจทก์ เพื่อประสงค์ให้โจทก์มีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะผ่านที่ดินของ น. อันมีลักษณะเป็นการได้ประโยชน์ของคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายมิใช่เป็นกรณีที่โจทก์อาศัยสิทธิของ น. แต่เพียงฝ่ายเดียว ข้อตกลงที่ให้โจทก์มีสิทธิใช้ทางพิพาทดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นการได้ภาระจำยอมโดยนิติกรรมอันเป็นทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ แต่เมื่อโจทก์ยังไม่จดทะเบียนการได้มา จึงไม่บริบูรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคแรก อย่างไรก็ตาม แม้การได้ภาระจำยอมโดยนิติกรรมของโจทก์จะไม่บริบูรณ์ดังกล่าวหากปรากฏว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาให้เป็นทางภาระจำยอมติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี โจทก์ก็มีสิทธิได้ภาระจำยอมโดยอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1401 ประกอบมาตรา 1382
จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของภารยทรัพย์อันตกอยู่ในภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์หาจำต้องเสนอค่าทดแทนแก่โจทก์จึงจะมีสิทธิขอย้ายทางภาระจำยอมไม่ ซึ่งการเสียค่าใช้จ่ายในการย้ายทางภาระจำยอมนั้นเป็นภาระหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องเป็นฝ่ายเสียค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายกำหนด แต่ข้อสำคัญจำเลยจะต้องแสดงได้ว่าการย้ายนั้นเป็นประโยชน์แก่จำเลยและต้องไม่ทำให้ความสะดวกของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง เมื่อพิจารณาทางพิพาทอันเป็นทางภาระจำยอมแล้วจะเห็นได้ว่าที่ดินของจำเลยทางด้านทิศตะวันตกของทางพิพาทประโยชน์ใช้สอยจะน้อยลงเนื่องจากถูกทางพิพาทแบ่งพื้นที่ของที่ดินของจำเลยเป็นสองส่วน โดยที่ดินทางด้านทิศตะวันตกเป็นที่ดินส่วนน้อย แต่หากทางภาระจำยอมย้ายไปอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินจำเลย พื้นที่ส่วนที่เหลือของที่ดินจำเลยจะเป็นผืนเดียวกัน จำเลยย่อมใช้สอยประโยชน์ได้มากกว่า และการย้ายทางภาระจำยอมดังกล่าวก็ไม่ทำให้ความสะดวกของโจทก์ลดลงแต่ประการใด จึงสมควรย้ายทางภาระจำยอมโดยจำเลยต้องเป็นฝ่ายเสียค่าใช้จ่ายในการย้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นและเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 14608 ของโจทก์ ให้จำเลยรื้อกำแพงคอนกรีตเฉพาะที่ปิดกั้นทางพิพาท หากไม่ยอมรื้อให้โจทก์เป็นผู้รื้อโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและให้จำเลยจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นและ/หรือทางภาระจำยอม หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องและหากศาลพิพากษาให้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็น ขอให้โจทก์ใช้ค่าทดแทนให้แก่จำเลย 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันให้การและฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ใช้ที่ดินพิพาทเพื่อเป็นทางเข้าออกสู้ทางสาธารณะโดยความสงบ และโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาให้เป็นทางภาระจำยอมตลอดมาเกินกว่า 10 ปี จึงได้สิทธิภาระจำยอมในทางพิพาทโดยอายุความ โจทก์จึงไม่ต้องใช้ค่าทดแทน หากต้องใช้ค่าทดแทนก็ไม่เกิน 5,000 บาท
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับฟ้องแย้ง คืนค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้องแย้งแก่จำเลยและค่าขึ้นศาลส่วนที่โจทก์ชำระเพิ่มตามคำแถลงฉบับลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2545 แก่โจทก์ทั้งหมดและพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 1680 อำเภออาเนาะรู อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี ตรงบริเวณที่ดินตามแนวที่ระบายด้วยสีแดงในแผนที่ที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ.4 มีขนาดความกว้าง 1.20 เมตร ตามที่ปรากฏในภาพถ่ายหมาย จ.8 ตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 14608 ตำบลอาเนาะรู อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานีให้จำเลยจดทะเบียนทางพิพาทเป็นภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยและให้จำเลยรื้อถอนกำแพงคอนกรีตเฉพาะตรงที่ปิดกั้นทางพิพาทออก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่ไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่าเดิมนายนิเซ็ง เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1680 ตำบลอาเนาะรู อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี ตามสำเนาโฉนดเลขที่ดินเอกสารหมาย จ.6 ต่อมาเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2525 นายนิเซ็งแบ่งขายที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์บางส่วนเป็นเนื้อที่ ตารางวา โดยแบ่งแยกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 14608 ตามสำเนาโฉนดที่ดินและสำเนาหนังสือสัญญาแบ่งขายที่ดินเอกสารหมาย จ.2 และหนังสือสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 โจทก์ได้ปลูกสร้างบ้านในที่ดินโฉนดเลขที่ 14608 และใช้ทางซึ่งอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1680 คือทางพิพาทที่ระบายด้วยสีแดงในแผนที่เอกสารหมาย จ.4 เป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะมาเป็นเวลาประมาณ 20 ปี วันที่ 29 ธันวาคม 2535 จำเลยซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 1680 มาจากนายนิเซ็ง ต่อมาเมื่อปี 2544 จำเลยก่อสร้างกำแพงคอนกรีตปิดกั้นไม่ยอมให้โจทก์ใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินเข้าออกจากที่ดินของโจทก์สู่ถนนสาธารณะอีกต่อไป มีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่าทางพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์หรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า แม้โจทก์จะใช้ทางพิพาทมาเป็นเวลากว่า 10 ปี โจทก์ก็ไม่ได้ภาระจำยอมโดยอายุความเพราะการที่นายนิเซ็งอนุญาตให้โจทก์ใช้ทางพิพาทตามหนังสือสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 นั้นถือว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทโดยอาศัยสิทธิของนายนิเซ็งเจ้าของเดิม ในปัญหานี้ตามหนังสือสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 สัญญาข้อ 3 ระบุว่า นายนิเซ็งผู้ขายยอมให้ทางต่อเมื่อที่ดินส่วนอื่นได้ขายให้กับคนอื่น นายนิเซ็งได้ยินยอมจะให้ทางเดินกว้าง 2 เมตร ความยาวจนถึงถนนใหญ่ (ถนนนาเกลือ) ไม่ว่าในกรณีใด ๆ เห็นได้ว่าข้อตกลงดังกล่าวเกิดจากการที่โจทก์ซื้อที่ดินจากนายนิเซ็งซึ่งแบ่งขายที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 1680 ให้แก่โจทก์ นายนิเซ็งตกลงกับโจทก์ตามความในข้อ 3 ของหนังสือสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 เพื่อประสงค์ให้โจทก์มีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 1680 ของนายนิเซ็ง อันมีลักษณะเป็นการได้ประโยชน์ของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย มิใช่เป็นกรณีที่โจทก์อาศัยสิทธิของนายนิเซ็งแต่เพียงฝ่ายเดียว ข้อตกลงที่ให้โจทก์มีสิทธิใช้ทางพิพาทดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นการได้ภาระจำยอมโดยนิติกรรมอันเป็นทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ แต่เมื่อโจทก์ยังไม่จดทะเบียนการได้มา จึงไม่บริบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคแรก อย่างไรก็ตามแม้การได้ภาระจำยอมโดยนิติกรรมของโจทก์จะไม่บริบูรณ์ดังกล่าวหากปรากฏว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาให้เป็นทางภาระจำยอมติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี โจทก์ก็มีสิทธิได้ภาระจำยอมโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 ประกอบมาตรา 1382 โจทก์เบิกความว่า หลังจากโจทก์ซื้อที่ดินจากนายนิเซ็งแล้ว โจทก์ได้ใช้ทางพิพาทออกสู่ถนนนาเกลือตลอดมาเป็นเวลาประมาณ 20 ปี โดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน หลังจากจำเลยซื้อที่ดินจากนายนิเซ็งแล้ว โจทก์ก็ยังคงใช้ทางพิพาทตลอดมาโดยจำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านนายวิโรจน์ สามีจำเลยเบิกความเป็นพยานจำเลยว่า พยานพักอาศัยอยู่ห่างจากที่ดินพิพาทประมาณ 300 เมตร โดยพักอาศัยที่บ้านดังกล่าวมานานประมาณ 30 ปี ขณะที่พยาน (ที่ถูกจำเลย) ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 1680 นั้น เห็นโจทก์เดินผ่านทางพิพาท ดังนี้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ใช้ทางพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผย ที่จำเลยฎีกาว่า พฤติการณ์ในการใช้ทางพิพาทของโจทก์ยังไม่ถือว่าเป็นการใช้ในลักษณะที่เป็นปรปักษ์ต่อเจ้าของทางพิพาทนั้น เห็นว่า ตามภาพถ่ายหมาย จ.8 โจทก์ทำทางเดินในที่ดินโฉนดเลขที่ 1680 ของจำเลยออกจากหน้าบ้านโจทก์โดยใช้แผ่นซีเมนต์ปูเป็นทางเดินตลอดแนวของทางพิพาท เป็นปรปักษ์ต่อเจ้าของที่ดินโดยชัดแจ้ง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า โจทก์ได้ใช้ทางพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาให้เป็นทางภาระจำยอมเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว โจทก์จึงได้ภาระจำยอมโดยอายุความ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อสุดท้ายของจำเลยว่า สมควรย้ายทางภาระจำยอมจากทางพิพาทที่ระบายด้วยสีแดงในแผนที่เอกสารหมาย จ.4 ไปอยู่ทางทิศตะวันตกของที่ดินโฉนดเลขที่ 1680 ของจำเลยคือบริเวณเส้นสีเขียวในแผนที่เอกสารหมาย ล.2 หรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยไม่ได้เสนอค่าทดแทนให้แก่โจทก์ คดีจึงไม่มีประเด็นว่าจำเลยจะใช้สิทธิขอย้ายทางพิพาทอันเป็นทางภาระจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1392 ได้หรือไม่นั้น เห็นว่า จำเลยหาจำต้องเสนอค่าทดแทนแก่โจทก์จึงจะมีสิทธิขอย้ายทางภาระจำยอมดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยไม่ สำหรับการเสียค่าใช้จ่ายในการย้ายทางภาระจำยอมนั้นเป็นภาระหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องเป็นฝ่ายเสียค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายกำหนด แต่ข้อสำคัญจำเลยจะต้องแสดงได้ว่าการย้ายนั้นเป็นประโยชน์แก่จำเลยและต้องไม่ทำให้ความสะดวกของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง เมื่อพิจารณาทางพิพาทอันเป็นทางภาระจำยอมตามแผนที่เอกสารหมาย จ.4 แล้วจะเห็นได้ว่าที่ดินของจำเลยทางด้านทิศตะวันตกของทางพิพาทประโยชน์ใช้สอยจะลดน้อยลง เนื่องจากถูกทางพิพาทแบ่งพื้นที่ของที่ดินของจำเลยเป็นสองส่วนโดยที่ดินทางด้านทิศตะวันตกเป็นที่ดินส่วนน้อย แต่หากทางภาระจำยอมย้ายไปอยู่สุดทางทิศตะวันตกของที่ดินของจำเลยพื้นที่ส่วนที่เหลือของที่ดินของจำเลยจะเป็นผืนเดียวกันจำเลยย่อมใช้สอยประโยชน์ได้มากกว่า และการย้ายทางภาระจำยอมดังกล่าวก็ไม่ทำให้ความสะดวกของโจทก์ลดลงแต่ประการใด จึงสมควรย้ายทางภาระจำยอมจากเดิมตามที่ระบายด้วยสีแดงในแผนที่เอกสารหมาย จ.4 ไปอยู่บริเวณเส้นสีเขียวตามแผนที่เอกสารหมาย ล.2 โดยจำเลยต้องเป็นฝ่ายเสียค่าใช้จ่ายในการย้าย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ย้ายทางภาระจำยอมจากทางพิพาทที่ระบายด้วยสีแดงในแผนที่เอกสารหมาย จ.4 ไปอยู่สุดเขตที่ดินของจำเลยทางทิศตะวันตกตามเส้นสีเขียวในแผนที่เอกสารหมาย ล.2 โดยมีความกว้างของทางตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 และให้จำเลยเป็นฝ่ายเสียค่าใช้จ่ายในการย้ายทางภาระจำยอมดังกล่าว นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share