แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญากู้มีข้อสัญญาว่าผู้กู้ยอมให้ดอกเบี้ยตามจำนวนเงินที่กู้ให้แก่ผู้ให้กู้ตามกฎหมาย  ย่อมถือว่ามีอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี  เพราะกรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7  และจะรับฟังพยานบุคคลเพื่อเปลี่ยนแปลงอัตราดังกล่าวนี้ไม่ได้  แม้ใบรับเงินที่ผู้ให้กู้ออกให้แก่ผู้กู้จะปรากฏอัตราดอกเบี้ยเท่ากับร้อยละ 15 ต่อปี  หรือเกินกว่านั้น  ก็ไม่เป็นหลักฐานที่หักล้างว่าไม่ใช่ร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี  เพราะมิได้มีลายมือชื่อของผู้กู้ซึ่งเป็นฝ่ายต้องรับผิดในหนี้
เมื่อตามข้อสัญญาต้องถือว่าดอกเบี้ยมีอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี  และผู้กู้ก็เข้าใจเช่นนั้น  ถ้าผู้กู้ชำระดอกเบี้ยให้ผู้ให้กู้เกินกว่าอัตราดังกล่าว  โดยไม่มีความเข้าใจผิดและไม่ปรากฏว่าผู้ให้กู้บังคับเรียกร้องเอา  ก็ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 407  จะเรียกส่วนที่ชำระเกินไปนั้นคืนไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินไป ๕๐,๐๐๐ บาท  สัญญาให้ดอกเบี้ยตามกฎหมาย  จำเลยได้ชำระดอกเบี้ยให้ร้อยละ ๕ สลึง  กับอีก ๓ สลึง  ให้เป็นค่านายหน้าแก่ผู้มีชื่อรวมเป็น ๒ บาทต่อเดือน  เป็นเวลา ๑๘ เดือน  แล้วชำระร้อยละ ๕ สลึง  ต่อเดือนจนถึงมิถุนายน ๒๕๐๓  นับแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๐๓  เป็นต้นมา  จำเลยผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ย  ขอให้บังคับให้จำเลยชำระเงินต้น ๕๐,๐๐๐ บาท  กับค่าเสียหายเป็นค่าพาหนะในทวงถาม ๓๐๐ บาท  และดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า  สัญญาให้ดอกเบี้ยตามกฎหมายคือร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี  ตกลงว่าส่งดอกเบี้ยและเงินต้นไม่น้อยกว่าเดือนละ ๕๐๐ บาท  การชำระจนถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๐๓  เป็นการชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย  ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๐๓  ค้างชำระเงินต้นอยู่เพียง ๒๐,๐๐๐ บาทเศษ  ดอกเบี้ยค้างถึงวันฟ้อง ๖๒๑ บาทเศษ  จำเลยไม่ได้ผิดสัญญา  เมื่อชำระถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๐๓  แล้วจำเลยเห็นว่าโจทก์ผิดสัญญาจึงงดส่งดอกเบี้ยไว้  โจทก์จะเรียกดอกเบี้ยตามฟ้องและเรียกค่าเสียหายมิได้  ขอให้ยกฟ้อง  และเนื่องจากจำเลยได้ส่งเงินให้โจทก์ต่างหากจากดอกเบี้ยตามสัญญาเป็นจำนวนสองหมื่นบาทเศษ  หากโจทก์รับไว้โดยฝ่าฝืนกฎหมายจึงเป็นลาภมิควรได้  จำเลยขอเรียกคืนมาหักหนี้ตามฟ้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า  ไม่เคยตกลงให้ส่งดอกเบี้ยและเงินกู้เป็นรายเดือนและจะคิดหักจากเงินต้น  จำเลยยอมชำระดอกเบี้ยให้โจทก์โดยไม่ทักท้วงอิดเอื้อน  เงินที่จำเลยชำระให้ไม่ใช่ลาภมิควรได้และการเรียกคืนก็ขาดอายุความแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินต้น ๕๐,๐๐๐ บาท  ดอกเบี้ยที่ค้าง ๓,๑๒๕ บาท  และดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีในเงินต้น ๕๐,๐๐๐ บาท  นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้  ให้ชำระดอกเบี้ยที่ค้างในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินต้น ๕๐,๐๐๐ บาท  นับแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๐๓  ไปจนถึงวันฟ้อง  แต่ไม่เกิน ๓,๑๒๕ บาท  และดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
๑. สัญญากู้ข้อ ๒  มีความว่า  “ผู้กู้ (จำเลย)  ยอมให้ดอกเบี้ยตามจำนวนเงินที่กู้แก่ผู้ให้กู้  (โจทก์)  ตามกฎหมาย ฯลฯ”  กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗  เพราะสัญญาให้มีการเรียกดอกเบี้ยได้  แต่มิได้กำหนดอัตราไว้  หรือมีบทกฎหมายอื่นกำหนดให้ไว้โดยเฉพาะอัตรานี้จึงต้องเป็นร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี  จะแปลว่าให้เรียกได้ร้อยละสิบห้าต่อปีมิได้  เพราะการเรียกเช่นนี้ต้องมีข้อสัญญากำหนดไว้  และจะรับฟังพยานบุคคลเพื่อเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยไม่ได้  ใบรับเงินที่โจทก์ออกให้แก่จำเลยซึ่งปรากฏจำนวนเงินตามใบรับเงินระยะแรกเท่ากับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๒ ต่อเดือน  และเดือนต่อมาเท่ากับร้อยละสิบห้าต่อปีก็หาเป็นหลักฐานที่หักล้างไม่ได้  เพราะมิได้มีลายมือชื่อของจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายต้องรับผิดในหนี้รายนี้
๒. ตามใบรับเงินฟังไม่ได้ว่าการชำระเงินแก่โจทก์เป็นรายเดือนนั้น  จำเลยได้ผ่อนเงินต้นด้วย  เมื่อการกู้รายนี้ต้องเข้าใจว่ามีดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีดังได้วินิจฉัยแล้ว  และปรากฏว่าจำเลยก็เข้าใจเช่นนั้น  แต่จำเลยได้ชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์เกินกว่าร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีเช่นนี้  จำเลยจะเรียกส่วนที่ชำระเกินไปนั้นคืนไม่ได้  เพราะรู้อยู่แล้วว่าไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระเกินร้อยละเจ็ดครึ่งตอ่ปี  การชำระเกินไปโดยไม่มีความเข้าใมจผิดและไม่ปรากฏว่าโจทก์บังคับเรียกร้องเอา  ย่อมเป็นการกระทำไปตามอำเภอใจของจำเลย  ต้องตามมาตรา ๔๐๗
พิพากษายืน

