แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยทำสัญญาเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับธนาคารโจทก์โดยมีข้อตกลงว่า ถ้าธนาคารจ่ายเงินตามเช็คให้เกินจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีของจำเลยไป จำเลยยอมใช้เงินส่วนที่ธนาคารได้จ่ายเงินเกินบัญชีนั้นให้ธนาคารพร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดเท่าที่กฎหมายอนุญาต นับแต่วันที่เบิกเกินจนถึงวันที่ชำระหนี้เงินเบิกเกินคืน โดยมิได้มีข้อตกลงให้เรียกดอกเบี้ยทบต้นได้นั้น ไม่ใช่เรื่องการกู้ยืมเงิน หรือการทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดหรือการค้าอย่างอื่นในทำนองเช่นว่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ธนาคารโจทก์จ่ายเงินตามคำสั่งของจำเลยผู้ออกเช็คเกินกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชี ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 991 มิได้บังคับโดยเด็ดขาดมิให้ธนาคารจ่ายเงินเกินบัญชีของผู้เคยค้า และตามเงื่อนไขคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันดังกล่าวก็ให้ธนาคารโจทก์มีอำนาจจ่ายเงินตามเช็คให้จำเลยเกินจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์สาขาจักรวรรดิ โดยมีข้อตกลงว่า หากจำเลยเบิกเงินเกินบัญชีจำเลยจะนำเงินเข้าบัญชีเพื่อหักทอนบัญชีต่อไปทุกวันสิ้นเดือนจำเลยยอมเสียดอกเบี้ยสำหรับจำนวนเงินที่เบิกเกินบัญชีในอัตราร้อยละ 17 ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือน ถ้าไม่ชำระยอมให้นำดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบเข้ากับจำนวนเงินที่เบิกเกินบัญชีเป็นยอดเงินที่จะต้องเสียดอกเบี้ยแก่โจทก์จนกว่าโจทก์หรือจำเลยจะบอกเลิกสัญญา ต่อมาโจทก์ลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือร้อยละ 15 ต่อปีจำเลยได้ใช้เช็คเบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์หลายครั้งและจำเลยได้นำเงินเข้าบัญชีเพื่อหักทอนบัญชีตลอดมา ต่อมาโจทก์บอกเลิกสัญญาให้จำเลยชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยให้เสร็จสิ้น แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์คิดยอดหนี้และดอกเบี้ยไม่ถูกต้องจำเลยไม่เคยเป็นหนี้ตามที่โจทก์ฟ้องเมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วสัญญาบัญชีเดินสะพัดย่อมสิ้นสุดลง โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยต่อไปได้อย่างมากไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน40,687.70 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน1,141,743.75 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาตามฎีกาจำเลยข้อแรกว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวนเท่าใด ฟังได้ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวน740,687.70 บาท ในวันที่ 17 เมษายน 2529 ตามบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.7 จำเลยจึงต้องรับผิดชำระหนี้จำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยต้องชำระดอกเบี้ยทบต้นแก่โจทก์หรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเพียงแต่ทำสัญญาเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับธนาคารสาขาของโจทก์ จึงไม่ใช่เรื่องทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดต่อกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 856 และถือไม่ได้ว่าเป็นการค้าอย่างอื่นในทำนองเช่นว่านั้นตามข้อตกลงในคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน เอกสารหมาย จ.5 ข้อ 13, 14 ที่ว่าถ้าธนาคารจ่ายเงินตามเช็คให้เกินจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีของผู้ฝากไป ผู้ฝากยอมใช้เงินส่วนที่ธนาคารได้จ่ายเงินเกินบัญชีนั้นให้ธนาคารพร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดเท่าที่กฎหมายอนุญาตนับแต่วันที่เบิกเกินจนถึงวันที่ชำระหนี้เงินเบิกเกินคืน ก็มิได้มีข้อตกลงให้เรียกดอกเบี้ยทบต้นได้ กับทั้งไม่ใช่เรื่องกู้ยืมเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 แต่เป็นเรื่องของธนาคารโจทก์ได้จ่ายเงินตามคำสั่งของจำเลยผู้ออกเช็คเกินกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 991มิได้บังคับโดยเด็ดขาดมิให้ธนาคารจ่ายเงินเกินบัญชีของผู้เคยค้าและตามเงื่อนไขคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันดังกล่าวก็ให้ธนาคารโจทก์มีอำนาจจ่ายเงินตามเช็คให้จำเลยเกินจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลย ส่วนโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราเท่าใดนั้น จำเลยไม่ได้ฎีกาในเรื่องอัตราดอกเบี้ยกลับรับในฎีกาว่าขอเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่ 17 เมษายน 2529 ซึ่งเป็นวันผิดนัดโดยไม่ทบต้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 740,687.70 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 เมษายน 2529เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์