แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ที่ 1 เป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลย โดยมีคำรับรองของจำเลยว่าที่ดินที่ให้เช่าไม่มีภาระผูกพันใด ๆ กับบุคคลอื่น แต่ภายหลังกลับปรากฏว่าจำเลย และโจทก์ที่ 1 ถูกฟ้องได้เปิดทางภาระจำยอม ศาลมีคำสั่งให้คุ้มครองชั่วคราว โดยให้รื้อรั้วที่โจทก์ที่ 1 ก่อสร้างขึ้นเพื่อเปิดทางผ่านเข้าออก เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 ไม่ได้รับความสะดวกและปลอดภัยในการใช้ที่ดินที่เช่า ถือได้ว่าโจทก์ที่ 1 ถูกโต้แย้งสิทธิแล้ว โจทก์ที่ 1 จึงมีอำนาจฟ้อง
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้รื้อรั้วคอนกรีตกั้นทางเดินที่อ้างว่าเป็นภาระจำยอมออกจนกว่า ศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 ไม่สามารถใช้ประโยชน์ที่ดินที่เช่าอย่างเต็มที่ แต่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลยังไม่ถึงที่สุด เด็ดขาดว่าที่ดินที่เช่ามีภาระผูกพันจริง กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเช่า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,395,115.89 บาท แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยชำระเงินเดือนละ 67,342.79 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีละเมิด โจทก์ที่ 2 มิได้เป็นคู่สัญญากับจำเลย จำเลยไม่เคยมีภาระผูกพันให้ผู้หนึ่งผู้ใดเดินผ่านเข้าออกในที่ดินที่เช่าได้ จำเลยไม่เคยทราบเรื่องภาระจำยอม จำเลยไม่เคยยินยอมให้ชาวบ้านถือสิทธิเดินผ่านเข้าออกในที่ดินที่เช่า โจทก์ที่ 1 ทราบดีว่าที่ดินที่เช่าไม่มีการรอนสิทธิใด ๆ เพราะโจทก์ที่ 1 ได้ตรวจสอบหลักฐานต่าง ๆ จากเจ้าหน้าที่เขตตลิ่งชันและชาวบ้านก่อนทำสัญญาเช่า จำเลยมิได้กระทำละเมิดตามฟ้อง โจทก์ทั้งสองไม่อาจเรียกค่าปรับจากจำเลย โจทก์ทั้งสองมิได้จ้างพนักงานรักษาความปลอดภัยเพิ่มขึ้นและมิได้เสียค่าใช้จ่ายในการทำรั้วลวดหนาม ฟ้องโจทก์ทั้งสองขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 1 ที่ชี้ขาดว่าจำเลย ไม่ผิดสัญญา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาในประเด็นจำเลยผิดสัญญาเช่าหรือไม่ และประเด็นที่เหลือต่อไปโดยให้รอฟังผลคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 1641/2536 ของศาลชั้นต้น แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ให้ยกอุทธรณ์โจทก์ที่ 2 ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่โจทก์ทั้งสอง ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2535 โจทก์ที่ 1 ทำสัญญาเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ 29067 และ 1021 ตำบลบางระมาด อำเภอตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร จากจำเลย มีกำหนดระยะเวลา 12 ปี 5 เดือน โดยยินยอมให้โจทก์ที่ 1 นำไปให้โจทก์ที่ 2 เช่าช่วง เพื่อใช้เป็นสถานที่จอดและซ่อมบำรุงไมโครบัส และจำเลยรับรองว่าที่ดินที่ให้เช่าไม่มีภาระผูกพันใด ๆ กับบุคคลอื่น หากผู้เช่าไม่สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินได้เต็มที่ ผู้ให้เช่ายินยอมให้ผู้เช่าปรับในอัตราวันละ 2,000 บาท ตามหนังสือสัญญาเช่าที่ดินและสัญญาต่อท้ายสัญญาเช่าที่ดินเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 โจทก์ที่ 1 ได้รับมอบที่ดินที่เช่าพร้อมกับเข้าดำเนินการก่อสร้างไปบางส่วนแล้ว และ ทำสัญญาให้โจทก์ที่ 2 เช่าช่วง ตามสัญญาเช่าที่ดินเอกสารหมาย จ.9 ต่อมานายสำราญ ปานทอง กับพวกยื่นฟ้องจำเลยและโจทก์ที่ 1 ต่อศาลชั้นต้น ขอให้เปิดทางภาระจำยอมในที่ดินที่เช่า ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1641/2536 และศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้รื้อถอนรั้วที่โจทก์ที่ 1 สร้างขึ้นเพื่อเปิดทางให้โจทก์คดีดังกล่าวผ่านเข้าออก คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายประการแรกว่า โจทก์ที่ 1 มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ซึ่งในประเด็นปัญหานี้เกิดจากคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยและศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัย แต่ศาลฎีกาเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ จึงวินิจฉัยในปัญหานี้ไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก่อน ที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อคดีที่จำเลยถูกฟ้องให้เปิดทางภาระจำยอมยังไม่ถึงที่สุด ข้อเท็จจริงจึงยังไม่ยุติว่า ที่ดินที่เช่ามีภาระผูกพัน ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ที่ 1 ระบุว่า โจทก์ที่ 1 เป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลย โดยมีคำรับรองของจำเลยว่าที่ดินที่ให้เช่าไม่มีภาระผูกพันใด ๆ กับบุคคลอื่น แต่ภายหลังกลับปรากฏว่าจำเลยและโจทก์ที่ 1 ถูกฟ้องได้เปิดทางภาระจำยอม ศาลมีคำสั่งให้คุ้มครองชั่วคราวโดยให้รื้อรั้วที่โจทก์ที่ 1 ก่อสร้างขึ้นเพื่อเปิดทางผ่านเข้าออก เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 ไม่ได้รับความสะดวกและปลอดภัยในการใช้ที่ดินที่เช่า ถือได้ว่าโจทก์ที่ 1 ถูกโต้แย้งสิทธิแล้ว ส่วนข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ตามคำฟ้องของโจทก์ที่ 1 หรือไม่เป็นเรื่องที่จะต้องนำสืบกันต่อไปในชั้นพิจารณา โจทก์ที่ 1 จึงมีอำนาจฟ้อง
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในส่วนที่ เกี่ยวกับโจทก์ที่ 1 ที่ชี้ขาดว่าจำเลยไม่ผิดสัญญา โดยให้ศาลชั้นต้นรอฟังผลคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1641/2536 ของศาลชั้นต้น แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาในประเด็นว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าหรือไม่ กับประเด็นที่เหลือต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ชอบหรือไม่นั้น เห็นว่า สภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องของโจทก์ที่ 1 เป็นเรื่องจำเลยผิดสัญญาเช่า เนื่องจากที่ดินที่เช่าถูกบุคคลภายนอกฟ้องร้องว่าตกอยู่ในภาระจำยอม เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 ไม่สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินได้เต็มที่ ผิดจากคำรับรองของจำเลย จำเลยจึงต้องรับผิดชำระค่าปรับในอัตราวันละ 2,000 บาท พร้อมค่าเสียหายอย่างอื่นแก่โจทก์ที่ 1 ตามสัญญาต่อท้ายสัญญาเช่าที่ดินเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 11 ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าปรับและค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 และศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยผิดสัญญาเช่าตามฟ้องหรือไม่ ปัญหาว่าที่ดินที่เช่าตกอยู่ในภาระจำยอม เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 ไม่สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินได้เต็มที่ จึงเป็นประเด็นโดยตรงในคดีซึ่งจะนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าหรือไม่ และศาลชั้นต้นก็วินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้รื้อรั้วคอนกรีตกั้นทางเดินที่อ้างว่าเป็นภาระจำยอมออก จนกว่าศาลจะ มีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1641/2536 นั้น เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 ไม่สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดิน ที่เช่าอย่างเต็มที่ แต่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลยังไม่ถึงที่สุดเด็ดขาดว่าที่ดินที่เช่ามีภาระผูกพันจริง กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเช่า มีความหมายอยู่ในตัวว่า หากคดีดังกล่าวถึงที่สุดว่าที่ดินที่เช่ามีภาระผูกพัน ก็ถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเช่า จึงเป็นกรณีที่ต้องอาศัยทั้งหมดหรือแต่บางส่วนซึ่งคำชี้ขาดตัดสินบางข้อที่ศาลนั้นเอง มีเหตุสมควรที่ต้องเลื่อนการพิจารณาต่อไปจนกว่าจะได้มีการพิพากษาหรือชี้ขาดในข้อนั้น ๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 39 วรรคหนึ่ง แต่ศาลชั้นต้นด่วนวินิจฉัยคดีไปโดยไม่รอการพิพากษาหรือชี้ขาดในข้อนั้น ๆ ก่อน เป็นการใช้ ดุลพินิจที่ไม่ชอบ ไม่ทำให้ความยุติธรรมดำเนินไปด้วยดี ที่จำเลยฎีกาต่อไปว่า ตามคำฟ้องหากมีข้อเท็จจริงที่ยังไม่ยุติต้องถือว่าคำฟ้องไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งให้ ยกเสียนั้น เห็นว่า การพิจารณาว่าคำฟ้องสมบูรณ์หรือไม่ ต้องพิจารณาในสาระสำคัญว่าคำฟ้องแสดงโดยแจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ส่วนข้อเท็จจริงจะรับฟังได้หรือ รับฟังเป็นยุติตามคำฟ้องหรือไม่ เป็นเรื่องที่จะต้องรับฟังกันต่อไปในชั้นพิจารณา ฉะนั้น เมื่อคำฟ้องของโจทก์ที่ 1 ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง จึงไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้ยกเสีย ดังจำเลยอ้าง ส่วนฎีกาของจำเลยในทำนองว่า ไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นเลื่อนการพิจารณาเพื่อรอฟังผลคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1641/2536 ของศาลชั้นต้นนั้น แม้จะวินิจฉัยให้ก็ไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นข้อที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยให้เลื่อนการพิจารณาเพื่อรอฟังผลคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1641/2536 ของศาลชั้นต้นแล้วจึงดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ