แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมคู่ฉบับกรมธรรม์ประกันภัยที่โจทก์อ้างส่งศาลไว้ได้ระบุวันทำสัญญาประกันภัยเป็นวันที่ 30 เมษายน 2522 และระบุวันทำกรมธรรม์ประกันภัยเป็นวันที่ 16 เมษายน 2522 แต่ระบุระยะเวลามีผลบังคับเริ่มต้นวันที่ 30 ธันวาคม 2520 สิ้นสุดวันที่ 30 ธันวาคม 2521 เห็นได้ว่ามีการพิมพ์ข้อความเกี่ยวกับวันทำสัญญาประกันภัยและวันทำกรมธรรม์ประกันภัยในคู่ฉบับผิดพลาดไปโดยมีผลย้อนหลัง การที่โจทก์ขออ้างต้นฉบับ ซึ่งระบุวันทำสัญญาประกันภัยและวันทำกรมธรรม์ประกันภัยเป็นวันที่ 30 ธันวาคม 2520 เป็นพยานเพิ่มเติมหลังจากโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนได้สืบพยานเสร็จแล้วนั้นก็ เพื่อแสดงให้เห็นถึงวันทำสัญญาประกันภัย และวันทำกรมธรรม์ประกันภัยที่ถูกต้องเท่านั้น หลังจากโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนได้สืบพยานเสร็จแล้ว ส่วนระยะเวลามีผลบังคับและวันสิ้นสุดรวมทั้งชื่อผู้เอาประกันภัยคงระบุไว้ตรงกัน ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์จงใจฝ่าฝืนกฎหมาย เมื่อศาลเห็นว่ามีเหตุอันสมควร เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม ก็ย่อมมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 88 วรรคสาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๑ ง-๑๗๖๕ ประเภทชดใช้ความเสียหายโดยสิ้นเชิงไว้จากนายธีระยุทธ์ ปิติฤกษ์ ตามเอกสารหมาย ๒ ท้ายฟ้องจำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน น.ฐ. ๑๖๙๖๙ และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๓ ได้รับประกันภัยค้ำจุนรถของจำเลยที่ ๒ ไว้เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๒๑ จำเลยที่ ๑ ขับรถของจำเลยที่ ๑ ในทางการที่จ้างโดยประมาทชนท้ายรถที่นายธีระยุทธ์ขับได้รับความเสียหาย โจทก์ได้จ่ายเงินค่าซ่อมรถคันหมายเลขทะเบียน ๑ ง – ๑๗๖๕ เป็นจำนวน ๒๖,๙๘๐ บาท จึงรับช่วงสิทธิเรียกค่าเสียหายดังกล่าว ซึ่งจำเลยทั้งสามต้องร่วมกันรับผิด ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายและดอกเบี้ยจำนวน ๒๘,๘๓๕ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า โจทก์ไม่ได้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน ๑ ง – ๑๗๖๕ และนายธีระยุทธ์ไม่ใช่เจ้าของรถคันดังกล่าว จำเลยที่ ๒ ไม่ใช่เจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์หมายเลขทะเบียน น.ฐ.๑๖๙๖๙ จำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ลูกจ้างและมิได้กระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ เหตุเกิดเพราะความประมาทของนายธีระยุทธ์ค่าเสียหายไม่เกิน ๔,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การทำนองเดียวกับจำเลยที่ ๒
ส่วนจำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงิน ๒๖,๙๘๐ บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงจากหลักฐานในสำนวนว่า หลังจากโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนได้สืบเสร็จสิ้น และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ได้สืบพยานไปบ้างแล้ว โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอระบุต้นฉบับกรมธรรม์ประกันภัยเกี่ยวกับคดีนี้ซึ่งอยู่ที่นายธีระยุทธ์เป็นพยานเพิ่มเติม โดยอ้างว่าโจทก์เพิ่งทราบว่า คู่ฉบับที่โจทก์อ้างและส่งศาลไว้พิมพ์ข้อความเกี่ยวกับวันทำสัญญาประกันภัยและวันทำกรมธรรม์ประกันภัยผิดพลาดไป จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ยื่นคำแถลงคัดค้าน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมได้ตามคำร้อง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคู่ฉบับกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.๑ ระบุวันทำสัญญาประกันภัยเป็นวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๒๒ และระบุวันทำกรมธรรม์ประกันภัยเป็นวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๒๒ แต่ระบุระยะเวลามีผลบังคับเริ่มต้นวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๒๐ สิ้นสุดวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๒๑ เห็นได้ชัดเจนว่า มีการพิมพ์ข้อความเกี่ยวกับวันทำสัญญาประกันภัยและวันทำกรมธรรม์ประกันภัยในคู่ฉบับผิดพลาดมีผลย้อนหลัง การที่โจทก์อ้างต้นฉบับ ซึ่งระบุวันทำสัญญาประกันภัยและวันทำกรมธรรม์ประกันภัยเป็นวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๒๐ เป็นพยานเพิ่มเติม ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงวันทำสัญญาประกันภัยและวันทำกรมธรรม์ประกันภัยที่ถูกต้องเท่านั้น ส่วนระยะเวลามีผลบังคับและวันสิ้นสุดรวมทั้งชื่อนายธีระยุทธ์ผู้เอาประกันภัยคงระบุไว้ตรงกัน ไม่ทำให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เสียเปรียบ ทั้งพฤติการณ์ไม่ปรากฏว่าโจทก์จงใจฝ่าฝืนกฎหมาย เมื่อศาลเห็นว่ามีเหตุอันสมควร เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม ก็ย่อมมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๘ วรรคสาม ถือไม่ได้ว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษายืน