คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4947/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์กระบะมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 และพวกคนร้ายนั่งอยู่ด้วยไปจอดที่หน้าบ้านเกิดเหตุ คนร้ายส่วนหนึ่งไปเคาะประตูบ้านเกิดเหตุ เรียกให้คนงานเปิดประตูและส่งเงินให้ มิฉะนั้นจะยิง เจ้าพนักงานตำรวจที่ซุ่มอยู่จะเข้าจับกุม คนร้ายดังกล่าววิ่งขึ้นรถยนต์กระบะซึ่งจำเลยที่ 1 ขับย้อนกลับมาพาหลบหนี เจ้าพนักงานตำรวจจึงติดตามจับกุมจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 กับพวกไว้ได้ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 กับพวกย่อมมีความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์
การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 กับพวกประสงค์จะปล้นทรัพย์ชาวมอญซึ่งพักอาศัยอยู่ในบ้านเกิดเหตุ และได้ลงมือปล้นทรัพย์โดยสำคัญผิดว่าผู้ที่อยู่ในบ้านเกิดเหตุเป็นชาวมอญ แต่ความจริงเป็น ส. ผู้เสียหาย เช่นนี้ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จะยกความสำคัญผิดมาเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้เจตนากระทำต่อ ส. หาได้ไม่ และกรณีไม่ใช่การพยายามกระทำความผิดที่ไม่สามารถบรรจุผลได้อย่างแน่แท้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. อาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ป.อ. มาตรา 80, 83, 91, 210, 340, 340 ตรี ริบของกลาง
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ตรี, 80 พ.ร.บ. อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 91 ฐานพยายามปล้นทรัพย์ โดยมีอาวุธติดตัวไปด้วยและโดยใช้ยานพาหนะ จำคุกคนละ 12 ปี ฐานมีอาวุธปืนจำคุกคนละ 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกคนละ 6 เดือน รวมจำคุกคนละ 13 ปี 6 เดือน ริบของกลาง รายการที่ 2, 3, 4, 8, 9 และ 10 ตามบัญชีของกลางคดีอาญา เอกสารหมาย จ. 8 ส่วนของกลางที่เหลือให้คืนแก่เจ้าของ ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพชั้นจับกุมฐานพยายามปล้นทรัพย์ ลดโทษตาม ป.อ. มาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงจำคุกคนละ 9 ปี รวมฐานมีและพาอาวุธปืนแล้ว เป็นจำคุกคนละ 10 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 4 และพวกกระทำความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 หรือไม่ โจทก์มีนายสมพงษ์ นายวิทยา นายเล็ก พันตำรวจโทนาคิน และพันตำรวจตรีธีรินทร์ เป็นพยานเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุนายเล็กทราบว่าในคืนเกิดเหตุจะมีคนร้ายปล้นทรัพย์ชาวมอญ 3 คน ซึ่งเป็นคนงานรับจ้างกรีดยางของนายเล็กและพักอาศัยอยู่ในบ้านเกิดเหตุ นายเล็กจึงไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ จากนั้นพันตำรวจโทนาคินรองผู้กำกับหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอพนมกับพวกจึงวางแผนจับกุมคนร้าย โดยให้นายสมพงษ์เข้าไปอยู่ในบ้านเกิดเหตุแทนคนงาน พันตำรวจตรีธรีรินทร์กับพวกไปซุ่มอยู่ใกล้บ้านเกิดเหตุ ส่วนพันตำรวจโทนาคินกับพวกคอยสกัดคนร้ายอยู่ปากทาง ครั้นเวลา 21 นาฬิกาเศษ จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์กระบะป้ายแดงมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 และนายสมคิดหรือดำนั่งอยู่ด้วยไปจอดที่หน้าบ้านเกิดเหตุ คนร้ายส่วนหนึ่งลงจากรถถืออาวุธปืนและเปิดไฟฉายไปเคาะประตูบ้านเกิดเหตุ เรียกให้คนงานเปิดประตูและส่งเงินให้ มิฉะนั้นจะยิง พันตำรวจตรีธรีรินทร์กับพวกจึงเข้าจับกุม คนร้ายดังกล่าววิ่งขึ้นรถยนต์กระบะซึ่งจำเลยที่ 1 ขับย้อนกลับมาพากันหลบหนีโดยมีพันตำรวจตรีธรีรินทร์กับพวกใช้รถยนต์ไล่ติดตามอย่างกระชั้นชิด และพันตำรวจโทนาคินกับพวกใช้รถยนต์อีกคันหนึ่งจอดขวางทางไว้ ระหว่างนั้นคนร้ายได้โยนอาวุธปืนลงจากรถ พันตำรวจโทนาคินกับพวกจับกุมจำเลยทั้งสี่และนายสมคิดหรือดำได้พร้อมของกลาง แจ้งข้อหาว่าพยามยามปล้นทรัพย์ ซ่องโจร มีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต นายสมคิดหรือดำให้การรับสารภาพตลอดข้อหา ส่วนจำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธข้อหามีและพาอาวุธปืน โดยให้การรับสารภาพทุกข้อหาที่เหลือ ชั้นสอบสวนพยานแจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งสี่และนายสมคิดหรือดำว่า เป็นซ่องโจร ร่วมกันมีและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพข้อหามีและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้การปฏิเสธตลอดข้อหา ต่อมาพยานได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมว่าร่วมกันพยายามปล้นทรัพย์ จำเลยทั้งสี่และนายสมคิดหรือดำให้การปฏิเสธ เห็นว่า พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกันแม้จะมีบางตอนแตกต่างกันบ้าง ก็เป็นเพียงพลความไม่ทำให้ข้อวินิจฉัยเปลี่ยนแปลง ประกอบกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมซึ่งเป็นคำให้การในชั้นต้นในทันทีที่ถูกจับกุมยังไม่ได้มีโอกาสคิดปรุงแต่งเรื่องให้ผิดไปจากความจริง คำรับของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ดังกล่าวจึงมีน้ำหนักในการรับฟัง พยานโจทก์ทุกปากไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มาก่อน ข้อระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งปรักปรำจึงไม่มี พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 4 กระทำความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธติดตัวและโดยใช้ยานพาหนะ ร่วมกันมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามฟ้อง ส่วนที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกาว่า หากจะฟังว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์ การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ก็เป็นการกระทำที่ไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่นอน เพราะจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ตั้งใจจะปล้นทรัพย์ชาวมอญซึ่งมิได้อยู่ในบ้านเกิดเหตุ แต่มีนายสมพงษ์เข้าไปอยู่แทน เห็นว่า ตามทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 กับพวกประสงค์จะปล้นทรัพย์ชาวมอญซึ่งพักอาศัยอยู่ในบ้านเกิดเหตุ และได้ลงมือปล้นทรัพย์โดยสำคัญผิดว่าผู้ที่อยู่ในบ้านเกิดเหตุเป็นชาวมอญ แต่ความจริงเป็นนายสมพงษ์ผู้เสียหาย เช่นนี้ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จะยกเอาความสำคัญผิดมาเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้เจตนากระทำต่อนายสมพงษ์หาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share