แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ด้วยความประมาท เป็นเหตุให้เกิดชนกันขึ้น จำเลยที่ 4 ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ด้วย ตามสัญญากรมธรรม์ประกันภัยระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 4ระบุวงเงินค่าเสียหายเกี่ยวกับทรัพย์สินของบุคคลภายนอกไว้ว่าไม่เกิน 100,000 บาท ต่อหนึ่งครั้ง จึงหมายความว่า จำเลยที่ 4จำกัดความรับผิดในค่าเสียหายต่อบุคคลภายนอกไม่ว่าคนเดียวหรือหลายคนในอุบัติเหตุครั้งเดียวกันไว้ไม่เกิน 100,000 บาทเท่านั้นและหากจำเลยที่ 4 ได้ชำระค่าเสียหายให้โจทก์ในอีกคดีซึ่งได้ฟ้องในอุบัติเหตุครั้งเดียวกันกับคดีนี้เต็มจำนวน 100,000 บาทตามสัญญากรมธรรม์ประกันภัยแล้ว จำเลยที่ 4 ก็ไม่ต้องชำระค่าเสียหายให้โจทก์ในคดีนี้อีก การชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวเป็นการชำระหนี้โดยสุจริตและถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยที่ 4 ไม่ต้องเฉลี่ยเงินค่าเสียหายให้โจทก์คดีนี้ จำเลยที่ 4 อ้างสำนวนคดีแพ่งของศาลชั้นต้นพร้อมทั้งสรรพเอกสารเป็นพยานในคดีนี้ เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตามข้อเท็จจริงในสำนวนคดีดังกล่าว จึงไม่เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกสำนวน แต่ข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 4 ได้ชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ในคดีอื่นเกิดขึ้นภายหลังที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีนี้แล้ว ศาลอุทธรณ์ไม่ชอบที่จะนำมาพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 4 ไปเลย แต่ควรกำหนดเป็นเงื่อนไขในความรับผิดของจำเลยที่ 4 เท่านั้น.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกน้องของจำเลยที่ 3 กระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3ฝ่ายหนึ่ง ขับรถยนต์ชนกันโดยประมาทเป็นเหตุให้กระบะรถคันที่จำเลยที่ 1 ขับรถฟาดรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันและแทนกันชดใช้เงินให้โจทก์ 30,673.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินจำนวน 28,700 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์ความเสียหายของรถยนต์ของโจทก์เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียว จำเลยที่ 2 ไม่ใช่ลูกจ้างหรือรับจ้างวานจากจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 2 ขอยืมรถยนต์ของจำเลยที่ 3 ไปทำธุรกิจส่วนตัวจำเลยที่ 3 ไม่ได้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าวขณะเกิดเหตุ จึงไม่ต้องรับผิดขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ขณะเกิดเหตุจริง แต่จำเลยที่ 4 รับผิดต่อความเสียหายเกี่ยวกับทรัพย์สินของบุคคลภายนอกทั้งหมดต่ออุบัติเหตุครั้งละไม่เกิน100,000 บาท จำเลยที่ 4 ต้องรับผิดต่อโจทก์กับโจทก์ในคดีอื่นไม่เกิน100,000 บาท โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์ เหตุคดีนี้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 2 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 4 ร่วมกันชำระค่าเสียหาย16,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันทำละเมิด (20 เมษายน 2527) จนกว่าจำเลยที่ 1 ที่ 4 จะชำระให้โจทก์เสร็จ (ดอกเบี้ยก่อนฟ้องไม่เกิน 1,973.25 บาท) ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 4 ได้ชำระค่าเสียหายในอุบัติเหตุเดียวกันนี้ แก่โจทก์ในคดีหมายเลขแดงที่ 23760/2528 ของศาลชั้นต้นเต็มตามสัญญากรมธรรม์ประกันภัยแล้ว จึงหลุดพ้นจากความรับผิดต่อโจทก์คดีนี้ พิพากษาแก้เป็นว่า คดีสำหรับจำเลยที่ 4 ให้ยกฟ้องเสียด้วยนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อแรกว่า จำเลยที่ 4 จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ในคดีนี้หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 80-2724 เพชรบุรี ด้วยความประมาท เป็นเหตุให้เกิดชนกันขึ้นเป็นคดีนี้ จำเลยที่ 4 ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ด้วย ปัญหาที่ว่า จำเลยที่ 4 จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ในคดีนี้อีกหรือไม่ จำเลยที่ 4 ได้อ้างสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 23760/2528 ของศาลชั้นต้นเป็นพยานในคดีนี้ และศาลชั้นต้นได้นำมาผูกรวมไว้กับสำนวนคดีนี้แล้ว พิเคราะห์สำนวนคดีดังกล่าวแล้ว ข้อเท็จจริงได้ความว่า มูลคดีของคดีดังกล่าวกับคดีนี้เป็นอุบัติ เหตุครั้งเดียว ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2528 ซึ่งเป็นเวลาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนี้โดยให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ชำระเงินให้โจทก์ที่ 1 ในคดีดังกล่าวจำนวน 203,600 บาท แต่ให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดเพียง 100,000 บาทเท่าที่จำเลยที่ 1 เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 4 เฉพาะความเสียหายเกี่ยวกับบุคคลภายนอก คดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยคู่ความต่างไม่อุทธรณ์ เห็นว่า ตามสัญญากรมธรรม์ประกันภัยระหว่างจำเลยที่ 1กับที่ 4 ระบุวงเงินค่าเสียหายเกี่ยวกับทรัพย์สินของบุคคลภาย นอกไว้ ในข้อ 2.3 ว่าไม่เกิน 100,000 บาท ต่อหนึ่งครั้ง จึงหมายความว่า จำเลยที่ 4 จำกัดความรับผิดในค่าเสียหายต่อบุคคลภายนอกไม่ว่าคนเดียวหรือหลายคนในอุบัติเหตุครั้งเดียวกันไว้ไม่เกิน100,000 บาท เท่านั้น และหากจำเลยที่ 4 ได้ชำระค่าเสียหายให้โจทก์ในคดีหมายเลขแดงที่ 23760/2528 ของศาลชั้นต้นเต็มจำนวน 100,000 บาทตามสัญญากรมธรรม์ประกันภัยแล้ว จำเลยที่ 4 ก็ไม่ต้องชำระค่าเสียหายให้โจทก์ในคดีนี้อีก ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 4 มีหน้าที่จะต้องเฉลี่ยเงินที่จะชดใช้ให้โจทก์ และจำเลยที่ 4 ชำระหนี้ในคดีดังกล่าวโดยไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 4 ได้ชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวแล้วนั้น เป็นการชำระหนี้โดยสุจริตและถูกต้องตามกฎหมาย ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนปัญหาข้อต่อไปที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกสำนวนหรือไม่นั้น เห็นว่า จำเลยที่ 4 ได้อ้างสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 23760/2528ของศาลชั้นต้นพร้อมทั้งสรรพเอกสารเป็นพยานในคดีนี้ เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตามข้อเท็จจริงในสำนวนคดีดังกล่าว จึงไม่เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกสำนวน ฎีกาของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น แต่ข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 4 ได้ชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ในคดีหมายเลขแดงที่ 23760/2528 ของศาลชั้นต้นเกิดขึ้นภายหลังที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีนี้แล้ว ศาลอุทธรณ์ไม่ชอบที่จะนำมาพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4 ไปเลย แต่ควรกำหนดเป็นเงื่อนไขในความรับผิดของจำเลยที่ 4 เท่านั้น จึงสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1แต่หากจำเลยที่ 4 ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่23760/2528 ของศาลชั้นต้นเต็มวงเงินที่ต้องรับผิดจำนวน 100,000 บาทแล้ว จำเลยที่ 4 ก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในคดีนี้อีก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.