คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4934/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 202 เม็ด คำนวณน้ำหนักเป็นสารบริสุทธิ์ 2.019 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำเลยที่ 1ได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวจำนวน 2 เม็ด ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ได้นั่งอยู่กับจำเลยที่ 1 ขณะที่สายลับเข้าไปล่อซื้อและจำเลยที่ 2 เป็นผู้เดินไปหยิบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ด จากที่ซุกซ่อนมาส่งให้แก่สายลับตามที่จำเลยที่ 1 ใช้ แสดงว่าจำเลยที่ 2รู้อยู่ก่อนว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางทั้งหมดซุกซ่อนอยู่ที่ใด อันเป็นกระบวนการส่วนหนึ่งของการมีส่วนร่วมครอบครองและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของจำเลยที่ 1 ย่อมฟังได้ชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 2ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาต

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2541 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน202 เม็ด คำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ 2.019 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวบางส่วน 2 เม็ด ให้แก่สายลับในราคา 200 บาท โดยไม่ได้รับอนุญาตเจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองพร้อมยึดได้เมทแอมเฟตามีนดังกล่าวทั้งหมด และธนบัตรจำนวน 200 บาท ที่ใช้ล่อซื้อกับธนบัตรอื่นจำนวน950 บาท ซึ่งจำเลยทั้งสองได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32,33, 83, 91 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่เหลือและธนบัตรจำนวน950 บาท

จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ

จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ลงโทษจำคุกคนละ 10 ปีและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ลงโทษจำคุกคนละ5 ปี รวมลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 15 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 7 ปี 6 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์และริบธนบัตรจำนวน 950 บาท ของกลาง

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้โดยพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1ที่มิได้อุทธรณ์เป็นว่า ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 7 ปีรวมกับความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วจำคุกคนละ 12 ปี ลดโทษให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 6 ปี คืนธนบัตร 950 บาท ของกลางแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 202 เม็ดคำนวณน้ำหนักเป็นสารบริสุทธิ์ 2.019 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำเลยที่ 1 ได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวจำนวน 2 เม็ด ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อไปในราคา 200 บาท พันตำรวจตรีมนตรี แป้นเจริญ และสิบตำรวจตรีสุวุฒิ หินแก้ว กับพวก จับกุมจำเลยทั้งสองได้ที่บริเวณใต้ต้นโพธิ์ที่จำเลยทั้งสองนั่งอยู่ขณะเกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจค้นตัวจำเลยทั้งสองไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย แต่พบธนบัตรจำนวน 200 บาท ที่ใช้ล่อซื้อรวมอยู่กับธนบัตรอื่นอีกจำนวน 950 บาท ในกระเป๋ากางเกงด้านซ้ายของจำเลยที่ 1 ค้นพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 200 เม็ด บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีฟ้าซุกซ่อนอยู่ด้านหลังต้นโพธิ์ เจ้าพนักงานตำรวจจึงยึดเมทแอมเฟตามีนจำนวน 200 เม็ด กับที่ได้จากสายลับอีก 2 เม็ด และเงินจำนวน 200 บาทที่ใช้ล่อซื้อกับเงินอื่นอีก 950 บาท เป็นของกลาง

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2ได้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ โจทก์มีสิบตำรวจตรีสุวุฒิเจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมจับกุมจำเลยทั้งสองมาเบิกความเป็นประจักษ์พยานยืนยันว่า พยานได้นั่งซ้อนรถจักรยานยนต์ไปกับสายลับเพื่อล่อซื้อเมทแอมเฟตามีน สายลับขับรถจักรยานยนต์ไปถึงบริเวณที่เกิดเหตุเห็นจำเลยที่ 1 นั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ จำเลยที่ 2 นั่งอยู่ใกล้ ๆ สายลับลงจากรถ ส่วนพยานยังนั่งคร่อมอยู่บนรถจักรยานยนต์ สายลับเดินไปหาจำเลยที่ 1 พูดกับจำเลยที่ 1 แล้วส่งเงินจำนวน 200 บาท ที่ใช้ล่อซื้อให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เก็บเงินดังกล่าวไว้ที่กระเป๋ากางเกงด้านหน้าซ้ายแล้ว จำเลยที่ 1 ใช้ให้จำเลยที่ 2 ไปหยิบเมทแอมเฟตามีนจำเลยที่ 2 เดินอ้อมไปด้านหลังต้นโพธิ์นำเมทแอมเฟตามีนมามอบให้แก่สายลับ พยานจึงเดินเข้าไปแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสอง และได้วิทยุแจ้งให้พันตำรวจตรีมนตรีกับพวกซึ่งซุ่มรออยู่เข้ามาร่วมจับกุมจำเลยทั้งสอง เห็นว่า แม้โจทก์จะมิได้นำสายลับมาเบิกความแต่สิบตำรวจตรีสุวุฒิเป็นเจ้าพนักงานตำรวจปฏิบัติงานไปตามหน้าที่และไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 2 มาก่อน จึงไม่มีสาเหตุที่สิบตำรวจตรีสุวุฒิจะกลั่นแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 2 และคำเบิกความของสิบตำรวจตรีสุวุฒิก็ตรงกับข้อเท็จจริงที่บันทึกไว้ในบันทึกการจับกุม ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อไว้ และสอดคล้องกับคำเบิกความของพันตำรวจตรีมนตรีซึ่งเป็นผู้วางแผนล่อซื้อและร่วมจับกุมจำเลยทั้งสอง พยานหลักฐานของโจทก์มีเหตุผลและน้ำหนักมั่นคงให้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ได้นั่งอยู่กับจำเลยที่ 1 ขณะที่สายลับเข้าไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นผู้เดินไปหยิบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ด จากที่ซุกซ่อนมาส่งให้แก่สายลับตามที่จำเลยที่ 1 ใช้แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ย่อมรู้อยู่ก่อนว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางทั้งหมดซุกซ่อนอยู่ที่ใด การที่จำเลยที่ 2 เดินไปหยิบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ด จากที่ซุกซ่อนมาส่งให้แก่สายลับอันเป็นกระบวนการส่วนหนึ่งของการมีส่วนร่วมครอบครองและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของจำเลยที่ 1 ย่อมฟังได้ชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาต

พิพากษายืน

Share